Thursday, May 9, 2013

ทางเส้นนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและไม่ได้ราดด้วยยางมะตอย

            เมื่อออกเดินทาง ผมถึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของแผนที่มากขึ้น เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เรารู้ว่าควรจะไปทางไหนในยามที่ไม่รู้ว่าจะถามทางใครได้ หรือสื่อสารกับคนรอบข้างไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ดีที่ซื้อแผนที่ฉบับอินโดจีนครอบคลุมภาคอีสานของไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม ติดตัวมาด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าควรจะต้องหามาไว้ด้วยในการเดินทางคราวต่อไปก็คือ จีพีเอส เพื่อความสะดวกในการดูพิกัดที่ตั้งของตัวเองในขณะนั้น และอีกอย่างสามารถที่จะดูรายละเอียดของเส้นทางคร่าวเพื่อใช้ประกอบการเดินทางได้ด้วย ทั้งในเรื่องของความสูงชันของพื้นที่ ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่งในการเดินทางโดยการปั่นจักรยาน อย่างน้อย ก็พอจะให้ช่วยกะเวลาในการเดินทางได้บ้าง

           แผนที่ที่มีเส้นทางเชื่อมโยงถนนสายนั้นสายนี้ที่เห็นปรากฎบนแผ่นกระดาษนั้น มันไม่อาจบอกได้ละเอียดถึงสภาพของเส้นทาง ในแผนที่เราดูแล้วอาจคิดว่าเป็นทางลาดยางตลอดสาย แต่เอาเข้าจริงไป ปั่นไปถึงจุดหนึ่งกลับกลายเป็นทางดินแดงเสียอย่างนั้น

           ตั้งแต่ปั่นจักรยานข้ามพรมแดนลาว-เวียดนาม ที่ด่านนาเพ้าของลาว เข้ามาที่ด่านจาลอของเวียดนาม วิวสองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยนไป วิวฝั่งลาวจะเป็นภูเขาหิน และช่วงที่จะข้ามพรมแดนก็ต้องปั่นขึ้นเขาอีก 18 กิโลเมตร ผ่านป่าที่ดูแห้งๆ แต่ฝั่งเวียดนามเป็นป่าที่ทึบกว่า มีพรรณไม้หลากหลายมากกว่า และมีคนปลูกพืช ทำไร่อยู่ตามเนินเขา ที่สำคัญมีลำธารสายยาวที่ไหลขนาบเคียงคู่ไปกับถนนสาย 12เอ และบางช่วงก็ไหลลอดใต้ถนน และกลับมาเคียงขนานกันไปอีกครั้ง เป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตร ภูเขา ต้นไม้ ลำธาร สะพาน กระท่อม เป็นภาพประกอบสองข้างทางของถนนที่ทอดยาวอ้อมเขาลูกแล้วลูกเล่า มันช่างเป็นวิวที่ผมเห็นแล้วเห็นอีกก็ยังไม่รู้สึกเบื่อ ใจอยากจะลงไปเล่นลำธารที่ไหลอยู่เบื้องล่างนั้นเสียจริง
              
 

          ขณะเดียวกันความรู้สึกในใจก็เริ่มเปลี่ยนไป ผมเริ่มมีความหวาดระแวงจากสายตาของคนในพื้นที่ที่จ้องมองมา ทั้งที่เวลาผมปั่นจักรยานผ่าน หรือเวลาที่ผมจอดจักรยาน กลุ่มคนที่นั่งล้อมวงเล่นไพ่อยู่หันมามองผมเป็นทางเดียวกัน ราวกับเจอตัวประหลาด ผมไม่ค่อยชอบแววตาแบบนี้นัก มันจะดีมากหากมาพร้อมกับรอยยิ้มและคำทักทายรื่นหู แต่การจ้องมองโดยไม่ปริปากและสีหน้าที่บึ้งตึงมันทำให้คนที่ถูกมองคิดไปไกล อีกอย่าง ความทรงจำที่เลวร้ายซึ่งเกิดขึ้นกับผมทางตอนใต้ของเวียดนามเมื่อเกือบเจ็ดปีก่อน ภาพนั้นมันยังปรากฎอยู่ชัด ผมจึงอดระแวง และรู้สึกหวั่นไหวมากขึ้นไม่ได้เมื่อเข้าสู่พรมแดนของเวียดนามด้วยการเดินทางเพียงลำพังเหมือนในครั้งนั้น


           ฝนยังคงตกปรอยๆ ต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มการเดินทางวันที่ 14 ผิดกับอากาศที่เมืองไทยที่ร้อนตับแลบ ถนนที่ผมปั่นยังคงเป็นสายเดิมที่ต่อมาจากลาว แต่สภาพของถนนฝั่งเวียดนามบางช่วงดูจะทรุดโทรม ชื่อถนนเปลี่ยนจากสาย 12 เป็นสาย 12A ผมปั่นไปตามถนนสายนี้ที่ไม่ค่อยจะมีรถสวนมา มีแต่รถบรรทุกและรถพ่วงขนาดใหญ่ที่แซงหน้าไป จนถึงช่วงหนึ่งก็เริ่มรู้สึกผิดสังเกต เพราะรถบรรทุกและรถโดยสารจอดอยู่บนถนนยาวเหยียดเป็นกิโลๆ เริ่มสังหรณ์ใจว่าข้างหน้าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ และเป็นเช่นนั้นจริงๆ รถบรรทุกชนกับรถพ่วง หน้ารถอัดเข้ากับหน้าผาหินริมถนน ท้ายรถปัดไปอีกฝั่งกลายเป็นจระเข้ยักษ์ขวางคลอง ตัวรถเอียงกะเท่เร่ค้างอยู่อย่างนั้นจนน่ากลัวว่ามันจะล้มลงมาทับคนที่ลอดผ่านไปมา

           รถใหญ่ผ่านไม่ได้ ได้แต่รอเจ้าหน้าที่มาเคลียร์ทางให้ ส่วนรถเล็กอย่างมอเตอร์ไซค์ แก้ปัญหาด้วยการช่วยกันยกรถข้ามตรงช่องวางด้านหลังห้องคนขับ ทุลักทุเลไม่น้อยกว่าจะข้ามไปได้แต่ละคัน ส่วนผมก็ไม่รอเช่นกัน ปลดสัมภาระต่างๆออกจากจักรยาน แล้วขนลอดใต้ท้องรถบรรทุกไปอีกฝั่ง แล้วเอาสายเคเบิ้ลล็อคไว้ ทยอยขนไปจนเสร็จ ได้แผลจากการถูกเศษกระจกบาดที่หัวเข่ามานิดหน่อย จากนั้นค่อยยกจักรยานข้ามช่องรอยต่อระหว่างห้องคนขับกับตัวตู้คอนเทนเนอร์ ดีที่มีชาวเวียดนามช่วยยกด้วย จากนั้นก็ค่อยๆขนของผ่านท้ายรถพ่วงที่เอียงกะเท่เร่อีกด่านหนึ่ง จึงเอาสัมภาระขึ้นรถแล้วเดินทางต่อไป


           ปั่นไปเรื่อยจนถนนสายนี้ไปบรรจบกับถนนโฮจิมินห์ มันต่างจากแผนที่ฉบับที่ผมซื้อมาดู ซึ่งไม่มีชื่อของถนนโฮจิมินห์ปรากฏอยู่เลย เมื่อถึงจุดที่ต้องเลือกว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ก็เลยต้องใช้ความรู้ภาษาเวียดนามที่มีอยู่กะท่อนกะแท่น ถามทางคนแถวนั้น ผมเลี้ยวซ้ายไปตามถนนโฮจิมินห์ และปั่นไปเรื่อยๆขึ้นเนินลงเนิน อ้อมเขาลูกนั่น ผ่านเขาลูกนี้ เป็นระยะทางร่วมหลายสิบกิโลเมตร ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงทางลงเขาเสียที

           มีช่วงหนึ่งที่กำลงจอดจักรยานข้างทาง เอากล้องวิดีโอออกมาบันทึกภาพอยู่ เด็กวัยรุ่นสองคนขี่มาเตอร์ไซค์มาคนละคัน ชะลอรถเข้ามาหาผม ผมรีบเก็บกล้องแล้วปั่นจักรยานต่อทันที ผมทักทายพวกเขาและบอกเป็นภาษาเวียดนามว่า กำลังจะไปห่าติ่งห์ พวกเขาพูดว่า "ดีโบ ดีโบ" ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเขาต้องการพูดอะไร และต้องการอะไรจากผม แต่สถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจแบบนี้ ก็ทำให้ผมตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่มีผู้ชายนั่งอยู่หน้าบ้าน แล้ววัยรุ่นชายสองคนนั้นก็จากไป

            เมื่อไปถึงทางแยกที่บอกว่าเชื่อมไปถนนสาย 15 ได้ ก็จอดแล้วควานหาแผนที่ในกระเป๋าสัมภาระออกมาดูเพื่อความแน่ใจ เพราะตามที่ศึกษามาเขาบอกให้แยกเข้าถนนสาย 17 เพื่อตรงไปจังหวัดห่าติ่งห์ มีคนมาช่วยดูแผนที่ แต่ก็ไม่ค่อยชัดเจน แต่อย่างน้อยก็รู้แหละว่าปั่นต่อไปข้างหน้าได้ มันยังมีทาง เจอตำรวจเลยเข้าไปถามทางว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน และจะไปห่าติ่งห์อย่างไร เส้นทางที่เขาบอกมานั้น มันไม่ใช่เส้นทางที่เราต้องการจะไป หากไปตามทางที่เขาบอก เราก็ควรจะเลยไปเมืองวิงห์เลย เพราะถ้าเข้าห่าติ่งห์ ก็จะอ้อม เสียเวลาไปอีก

            คืนนั้นหาที่พักไม่ไกลจากจุดที่พบตำรวจมากนัก รวมแล้ววันนั้นก็ปั่นขึ้นลงเนินอยู่บนเขาเป็นระ.ยะทางประมาณ 60 กม.จากนั้นวันต่อมาก็ปั่นไปตามทางที่เขาบอก ผ่านเมืองเฮืองแค ไปจนถึงทางแยกไปห่าติ่งห์กับวิงห์ แต่ปรากฏเขากำลังทำทางอยู่ สภาพเส้นทางตอนนี้เป็นดินแดง และเนื่องจากฝนตก เลยทำให้ดินแดงเละเป็นดินเลนในบางช่วง ถามเขาดูว่าเป็นแบบนี้กี่กิโลเมตร ลุงที่นั่งอยู่แถวนั้นบอกว่า 5 กิโลเมตร เอาเถอะ ยังไงก็ต้องไป เพราะถ้าไม่แยกไปทางนี้ก็ต้องอ้อมไปตามถนนโฮจิมินห์

            ผ่าน 5 กิโลเมตรไปแล้ว แต่สภาพเส้นทางที่หฤโหดนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดสิ้น กว่าจะหมดก็ 10 กิโลเมตรเข้าไปแล้ว ผ่านช่วงนี้ไปทางก็เริ่มดีขึ้น แต่มันเป็นทางเล็กๆในชนบท ปั่นผ่านไปก็ได้แวะดูวิวไปเรื่อยด้วย แวะถามทางคนไปเรื่อย ดูแผนที่จากมือถือประกอบไปด้วย จนในที่สุดก็ไปถึงทางแยกถนนสาย 6 ที่เชื่อมไปถึงถนนสาย 1A หรือ AH1 ที่เป็นถนนสายใหญ่ของเวียดนามตัดผ่านหัวเมืองสำคัญตั้งแต่เหนือจรดใต้

            จากถนนสายนี้ยังต้องปั่นต่อไปอีก 300 กว่ากิโลเมตร เพื่อไปให้ถึงกรุงฮานอย รถราพลุกพล่านมากขึ้น เสียงแตรแทบไม่เคยหยุดเงียบ สองข้างทางส่วนใหญ่เป็นนาข้าวที่กำลังออกรวงสวยงาม ส่วนริมทางเต็มไปด้วยดอกหญ้าเล็กๆเต็มไปหมด ความเงียบสงบและวิวธรรมชาติป่าเขาที่เคยเห็น ก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงแห่งความอึกทึก แต่เสียงที่ยังไม่เคยเงียบลงคือเสียง "เฮลโล" ทักทายจากผู้คนสองข้างทาง บ้างก็มาจากคนบนรถบรรทุกนั่นแหละ ผมถูกจ้องมองจากสายตาแทบทุกคู่ที่ผมปั่นจักรยานผ่าน ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยเห็นใครทำอะไรแบบนี้มาก่อน แล้วก็มักจะตามมาด้วยเสียงตะโกนทักทาย และที่ผมรู้สึกแปลกคือ หลายคนที่ไม่แค่ส่งเสียงทักทายเท่านั้น แต่ยังกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผมไม่คิดว่าจะทำแบบนี้ ถ้าผมเจอคนปั่นจักรยานผ่านมา หรือมันเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่นี่ที่จะทักทายและกวักมือเรียกคนต่างถิ่นแบบนี้ ไม่ใช่เฉพาะในชนบท แต่ในเมืองก็ยังมีคนที่กวักมือเรียกเช่นนี้อยู่ 


             นอกจากรถใหญ่ ก็มีรถจักรยาน มอเตอร์ไซค์ที่ใช้ร่วมทางบนถนนสายหลักที่มุ่งตรงไปกรุงฮานอย ชาวเวียดนนิยมใช้รถมอเตอร์ไซค์กันมาก เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว และยังมีการตัดแปลงเอาไปบรรทุกของต่างๆ ขณะกำลังปั่นจักรยานอยู่บนไหล่ทางที่บางช่วงก็กว้าง บางช่วงก็แคบ มอเตอร์ไซค์ที่ติดพ่วงคันหนึ่งก็แซงหน้าไปและหันกลับมามองข้างหลัง ปรากฏว่าพ่วงของเขาเฉี่ยวกระเป๋าด้านข้างจักรยานที่ติดอยู่ตรงล้อหนา ทำให้ผมต้องหยุดรถ ขณะที่หมอนั่นขี่มอเตอร์ไซค์ต่อจากไปอย่างไม่สนใจใยดี เป็นบทเรียนที่ทำให้ต้องระวังรถให้มากขึ้น

              หลังจากเสร็จภารกิจในกรุงฮานอย ผมก็คงจะสามารถปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ และหยุดแวะพักได้ตามใจต้องการมากขึ้น คงจะได้ออกจากถนนสายใหญ่กลับไปปั่นบนถนนสายเล็กที่ตัดผ่านชนบทของเวียดนามอีกครั้ง และอาจจะได้ชื่นชมความงามของวิวสวยงามระคนไปกับความหวาดระแวงเช่นเดิม

No comments:

Post a Comment