Wednesday, May 8, 2013

วันดีคืนร้ายที่บ้านนาแดน...ลาว

            การเดินทางวันที่ 12 ผมเริ่มปั่นเข้าสู่ถนนหมายเลข 12 ที่เริ่มต้นจากเมืองท่าแขกของลาวไปถึงเวียดนาม ถือเป็นเส้นทางสายสั้นที่สุดที่สามารถเดินทางจากไทยไปถึงเวียดนาม เพราะระยะทางจากท่าแขกซึ่งอยู่ตรงข้ามอำเภอเมืองนครพนมของไทย ไปถึงพรมแดนลาว-เวียดนามแค่ 146 กิโลเมตรเท่านั้น

 

            กว่าจะออกเดินทางได้ก็ 11 โมงกว่าเข้าไปแล้ว เพราะมัวแต่ไปทำธุระเรื่องซิมโทรศัพท์ที่ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้ และโน้ตบุ๊คที่ไม่รู้ว่าจะใช้กับซิมโทรศัพท์อย่างไร สุดท้ายแก้ไขได้แค่เรื่องแรก เอาไว้ไปถึงเวียดนามค่อยหาทางแก้ไขต่อ

            ผมได้ลองขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านบางส่วนของถนนเส้นนี้ในการเที่ยวชมถ้ำตั้งแต่วันก่อนหน้าแล้ว วันนี้ได้มาปั่นจักรยานผ่านทางเดิมอีกครั้ง แต่ก็ยังรื่นรมย์กับการชมวิวภูเขาหินนับร้อยนับพันลูกอยู่ ดีที่ถนนสายนี้เป็นการตัดถนนไปบนทางราบที่ผ่านภูเขาหิน ไม่ได้เป็นถนนขึ้นเขา ก็เลยปั่นได้อย่างสบายๆเรื่อยๆ และไม่ได้เหนื่อยมากนัก ปั่นไปเรื่อยๆกิโลแล้วกิโลเล่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดวิวภูเขาหินที่มีต้นไม้เขียวๆขึ้นปกคลุมอยู่เสียที ก็นี่แหละคือวิวที่มองข้ามโขงมาเห็นตอนอยู่ที่นครพนม ตอนนั้นทึ่งมากกับวิวภูเขาสลับซับซ้อนในฝั่งลาว จนทำให้ตกใจเล็กน้อยว่า เส้นทางที่ผ่านภูเขาเหล่านี้จะเป็นอย่างไร

            ผมหยุดแวะถ่ายภาพวิวสวยๆ ภาพเด็ก ภาพผู้คนไปเรื่อยๆ เด็กๆลาวส่งเสียงทักทาย "สะบายดี สะบายดี" เป็นระยะๆ บางคนก็เรียกผมว่า "ฝรั่งๆ" เขาคงนึกว่าคนที่ปั่นจักรยานปิดหน้าปิดตาอยู่นี่คือฝรั่งล่ะมั้ง
           

            เส้นทางสายนี้ก็ไม่ถือว่าเปลี่ยวนัก มีบ้านคนอยู่เป็นระยะๆ ร้านค้าก็เห็นตลอดทาง เพียงแต่ไม่มีของให้เลือกกินได้มากนัก มีน้ำมีนมขาย ผมแวะศาลาที่มีชาวบ้านเอาของมาวางขาย เดินดูสินค้าต่างๆ มีเห็ด มีเขียด มีหน่อไม้ และก็มีมะพร้าว ซึ่งเป็นอย่างเดียวที่ซื้อกินได้ตอนนั้น นั่งพักไปด้วย กินไปด้วย ชาวบ้านต่างสนใจกับจักรยานและสอบถามเรื่องราวการเดินทางของผม

            ผมเลยลองถามว่า ในลาวนี่ถ้าไปขอพักที่วัดเขาจะให้พักหรือเปล่า ชาวบ้านบางคนบอกว่าให้ บางคนก็ว่าไม่ให้ แต่เขาแนะนำให้เข้าไปหา "นายบ้าน" หรือ ผู้ใหญ่บ้านเพื่อแจ้งความประสงค์ก่อน

           ปั่นไปเรื่อยๆก็ไปเจอตลาดริมทางที่ชาวบ้านเอาของป่ามาขาย ตอนกำลังจะจอดรถ ต้องตกใจกับสินค้าที่แม่ค้าผูกไว้กับเสาร่ม มันคืองูสิงห์ โอ้ สดๆเป็นๆยังมีชีวิตอยู่จากป่าของแท้เลย นอจากนั้นก็เจอเห็ดป่าหลายชนิด ทั้งดอกเล็กดอกใหญ่ เห็ดน้ำหมากก็มี ทำให้นึกถึงแกงเห็ดที่แม่เคยทำให้กินตอนเด็กๆ และไม่ได้กินแกงนี้มานานมากแล้ว จอดแวะดูแวะถ่ายรูป แวะคุยกับชาวบ้านถามนั่นถามนี่ไปเรื่อย แล้วก็ปั่นต่อไป

           วิวภูเขาหินก็ยังคงไม่หมด บางลูกเป็นหน้าผาสูง เบื้องล่างเป็นทุ่งนา เป็นบ้านคน ขณะที่ผมกำลังคิดว่าคืนนี้จะไปพักที่ไหนดี ความคิดแว้บหนึ่งก็เกิดขึ้นว่า ถ้าหาที่พักไม่ได้จริงๆ ก็น่าจะเป็นป่าใต้หน้าผาภูเขาหินนี่แหละ มันคงเป็นบรรยากาศที่ดีมาก อาหารก็มีข้าวเหนียวกับแจ่วเหลือจากตอนมื้อกลางวัน ไม่ต้องห่วงว่าจะอด

          แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ มองหันหลังไปดูเห็นดวงตะวันสีแดงกำลังเลื่อนลง ปั่นจักรยานไปด้วย มือก็หยิบกล้องในกระเป๋าออกมากะจะบันทึกภาพความงามนั้นไว้ แต่แค่เสี้ยววินาทีที่ผมเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมๆกับที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนตกลงจากท้องฟ้า เหลี่ยมมุมมันก็เปลี่ยนไป จนไม่เห็นภาพความงามนั้นเสียแล้ว

          หมู่บ้านเริ่มอยู่ห่างกันมากขึ้น ขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะลองนอนข้างทางดีหรือไม่ เพราะฟ้าใกล้มืดและถ้าจะนอนจริงๆก็ต้องหาทำเลและกางเต็นท์ให้เสร็จก่อนมืด ต้องหามุมที่มองจากข้างทางไม่เห็น หลบสายตาคนหน่อย แต่จู่ๆก็ปั่นผ่านจุดที่เขากำลังก่อสร้าง และเห็นคนงานหลายคนกำลังทำกับข้าวกินกันอยู่ผมเลยแวะเข้าไปถามว่า ข้างหน้ามีหมู่บ้านคนหรือไม่ ตอนแรกกะว่าจะเขาเขากางเต็นท์นอนแถวนั้นด้วยซ้ำ พี่เขาบอกว่ามีหมู่บ้านนาแดน อยู่ห่างไปอีก 4 กิโลเมตร

          ผมนับหลักกิโลที่ปั่นผ่านจากหลักกิโล 66 ไปจนถึง 63 ยังไม่ทันเจอหลักกิโล 62 ก็ถึงบ้านนาแดนที่พี่เขาบอกแล้ว ผมถามชาวบ้านว่าวัดอยู่ตรงไหน และตรงไปตามทางที่ชาวบ้านชี้บอกทันที

          พอถึงประตูวัด เณรและเด็กที่เล่นกันอยู่แถวนั้นก็เปิดประตูต้อนรับ ราวกับรู้ว่า คืนนี้ผมจะมาขอค้างแรมที่นี่ ผมถามหาหลวงพ่อ เณรชี้ไปที่กุฏิยกพื้นใต้ถุนสูง ผมแหงนหน้าขึ้นมองก็เจอกับพระที่ยังไม่น่าจะเรียกว่าหลวงพ่อได้ เพราะท่านยังดูเด็กกว่าผมเสียอีก หลวงพี่บอกว่าขึ้นมานอนที่ชานด้านบนก็ได้ ผมก็เลยขนสัมภาระขึ้นไปวางไว้ที่นอกชาน เพราะตรงนี้อุ่นใจอยู่ใกล้พระ

          หลังจากกางเต็นท์ขนสัมภาระเข้าไปเสร็จ ก็อาบน้ำ ซักผ้า แต่งตัว เตรียมออกไปหาของกิน แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน ก็เห็นชายสามคนเดินขึ้นมาที่กุฏิและเรียกผมไปคุย ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดจริงๆ

 


         คนที่เป็นคนนำมากลับไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้าน แต่เป็นคนแถวนั้น เขาซักประวัติ ถามที่มาที่ไป เป็นคนที่ไหน ทำไมมาที่นี่ ผมก็เล่าไป แล้วเขาก็ขอดูหนังสือเดินทางของผม ผมก็หยิบมาให้ดู ถามอะไรมาก็ตอบไป จนหมดคำถาม จากนั้นก็เขียนบันทึกให้ผมเซ็นชื่อต่อท้ายว่าเป็นผู้มาขอพัก เสร็จธุระ ผมก็ขอตัวไปหาข้าวเย็นกิน

         โชคดีที่มีไฟติดหัวมาด้วย เพราะทางที่ออกไปหน้าปากซอยมืดมาก ถ้าไม่มีไฟส่อง ก็แทบจะมืดสนิทเลยก็ว่าได้ ไปถึงร้านเฝอ เขาก็เกือบจะปิดร้านอยู่แล้ว เขาก็ยังอุตส่าห์ทำให้กิน กินอิ่มก็ปั่นจักรยานกลับวัด โดยมีน้องคำ เด็กชายในหมู่บ้านปั่นเป็นเพื่อนทั้งขาไปขากลับ กลับไปแล้วก็ยังเจอชาวบ้านกลุ่มเดิมนั่งอยู่ที่ชาน

          ช่วงนั้นยังไม่หายดีจากอาการหวัด และยังไออยู่โดยเฉพาะในช่วงค่ำที่อากาศเย็น ไอจนเจ็บที่หน้าอกข้างขวา และคิดว่าได้เอนตัวลงนอนอาการน่าจะดีขึ้น แต่ยังไม่ทันที่จะนอนได้ถึงสองนาที ก็มีเจ้าบ้านคนใหม่มาหา คราวนี้เป็นตำรวจใส่เครื่องแบบมาเต็มยศเลยทีเดียว

          อะไรกันนี่! นึกว่าจะคุยจนจบแล้ว นี่ถึงขนาดเรียกตำรวจมาคุยต่อเลยเหรอ ผมก็ต้องออกไปนั่งตอบคำถามตำรวจ ซึ่งหลายคำถามก็ซ้ำๆกับที่ชาวบ้านถามไปแล้ว เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเรา มาคนเดียวเกิดเป็นอะไรไปจะเป็นเรื่องใหญ่ ตำรวจหนุ่มลงไปสูบบุหรี่และโทรศัพท์ข้างล่างกุฏิพร้อมกับถือพาสปอร์ตผมไปด้วย ก่อนจะกลับขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้บอกว่า "ขอตรวจค้นเครื่อง"

          นี่ผมเป็นผู้ต้องหาก่อคดีอาชญากรรมหรืออย่างไรกันนะ ผมเป็นแค่นักเดินทางด้วยการปั่นจักรยานมา และตกค่ำต้องหาที่พักค้างแรม มาขอความเมตตากรุณาจากที่วัด ก็แค่นั้น ถึงตอนนั้นทำไงได้ ตัวคนเดียว เป็นคนไทยคนเดียวในหมู่คนลาว เป็นผู้มาเยือนไม่ใช่เจ้าถิ่น เป็นเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ เขาต้องการอะไร ผมก็คงต้องยอมไปก่อน แม้ว่าผมคิดว่ามันออกจะเกินไปเสียหน่อย ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขนาดนี้ ผมคงยอมนอนค้างแรมในป่าที่ไม่มีคนมายุ่มยามให้ลำบากใจดีกว่า

          เขาค้นของในกระเป๋าสัมภาระทุกใบที่ผมนำมา ถามว่านี่อะไร นั่นอะไร ผมก็อธิบายไปอย่างละเอียด จนสุดท้ายก็เก็บของคืน พี่ตำรวจบอกว่าจะเก็บพาสปอร์ตผมไว้ก่อน ตอนเช้าจะเอามาคืน ผมก็ยอม เขาบอกว่าจะมีตำรวจมานอนบนกุฏิเป็นเพื่อน ผมก็บอกขอบคุณครับ ดีจะได้มีเพื่อนนอน ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย

          เขาบอกว่า เขากลัวเราเป็นอะไรไป เกิดนอนๆอยู่แล้วเกิดหายใจไม่ออก เป็นอะไรขึ้นมา จะได้มีคนช่วย ครับ ขอบคุณมากครับผมที่เป็นห่วงผมมากขนาดนี้

          ถึงเวลาพักผ่อนของผมเสียที แทนที่ไดอะรี่วันนี้จะได้บันทึกเรื่องราวความสวยงามของวิวข้างทางที่ปั่นผ่านมาก่อน ผมก็รีบบันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำวันนั้นก่อนเรื่องอื่น เพราะผมสุดแสนจะประทับใจในความห่วงใยของเจ้าหน้าที่และชาวบ้านจริงๆ

          ผมเขียนไดอะรี่จนเสร็จ ลุงคนหนึ่งที่มานอนอยู่ที่ชานด้วย หลับไปแล้ว ตำรวจที่ว่าจะมานอนเป็นเพื่อนก็ยังไม่เห็นมา คืนนี้หลังจากเข้าเต็นท์ไป ผมก็ไม่ออกมาอีกเลยจนรุ่งเช้า แม้ว่าจะปวดฉี่นิดหน่อย ก็อั้นเอาไว้ก่อน เพราะกลัวเหลือเกินว่าเขาจะห่วงผม ว่าผมตื่นมาลงไปห้องน้ำตอนดึก เป็นอะไรหรือเปล่า

          หลังจากผ่านพ้นค่ำคืนนั้นไป เช้าวันต่อมา ฝนตกตั้งแต่เช้า ชาวบ้านผู้หญิงเอากับข้าวกับปลามาถวายพระ พอพระเณรฉันเช้าเสร็จ เขาก็จัดสำรับอาหารไว้ต้อนรับผมอย่างดี และให้น้องคำนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน กว่าฝนจะหยุดก็ 9 โมง ผมถึงได้ออกเดินทางต่อ ขอบคุณในน้ำใจของชาวบ้านนาแดน ตำรวจคนเดิมเอาพาสปอร์ตมาคืน และยังกำชับว่า อย่านอนป่า ถ้าไปยังไม่ถึงพรมแดนก็ให้หาหมู่บ้าน เข้าไปหา "นายบ้าน" ขอนอน

           สรุปบทเรียนที่ได้จากค่ำคืนนั้น ก็คือ ถ้าหาที่พักไม่ได้ให้ไปหานายบ้าน อย่าไปวัด แล้วเดี๋ยวเขาจะช่วยจัดการเอง ก็เหมือนกับที่ชาวบ้านที่ตลาดริมทางแนะนำ ว่าให้ติต่อนายบ้านก่อนนั่นแหละ เพราะที่นี่ลาว ไม่ใช่ไทย ที่ค่ำไหนก็หาวัดแถวนั้นนอน ติดต่อพระได้โดยตรง  แต่ถ้าไปติดต่อนายบ้านก่อนจะเจอเหตุการณ์แบบเมื่อคืนหรือเปล่า ผมไม่ได้ถามตำรวจ แต่ถ้าติดต่อแล้วยังเจอกระบวนการตรวจสอบแบบนี้ดี ผมว่านอนป่าอยู่กับธรรมชาติยังน่าอภิรมย์กว่า

No comments:

Post a Comment