เมื่อออกเดินทาง ผมถึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของแผนที่มากขึ้น เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เรารู้ว่าควรจะไปทางไหนในยามที่ไม่รู้ว่าจะถามทางใครได้ หรือสื่อสารกับคนรอบข้างไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ดีที่ซื้อแผนที่ฉบับอินโดจีนครอบคลุมภาคอีสานของไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม ติดตัวมาด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่าควรจะต้องหามาไว้ด้วยในการเดินทางคราวต่อไปก็คือ จีพีเอส เพื่อความสะดวกในการดูพิกัดที่ตั้งของตัวเองในขณะนั้น และอีกอย่างสามารถที่จะดูรายละเอียดของเส้นทางคร่าวเพื่อใช้ประกอบการเดินทางได้ด้วย ทั้งในเรื่องของความสูงชันของพื้นที่ ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญอย่างหนึ่งในการเดินทางโดยการปั่นจักรยาน อย่างน้อย ก็พอจะให้ช่วยกะเวลาในการเดินทางได้บ้าง
แผนที่ที่มีเส้นทางเชื่อมโยงถนนสายนั้นสายนี้ที่เห็นปรากฎบนแผ่นกระดาษนั้น มันไม่อาจบอกได้ละเอียดถึงสภาพของเส้นทาง ในแผนที่เราดูแล้วอาจคิดว่าเป็นทางลาดยางตลอดสาย แต่เอาเข้าจริงไป ปั่นไปถึงจุดหนึ่งกลับกลายเป็นทางดินแดงเสียอย่างนั้น
ตั้งแต่ปั่นจักรยานข้ามพรมแดนลาว-เวียดนาม ที่ด่านนาเพ้าของลาว เข้ามาที่ด่านจาลอของเวียดนาม วิวสองข้างทางก็เริ่มเปลี่ยนไป วิวฝั่งลาวจะเป็นภูเขาหิน และช่วงที่จะข้ามพรมแดนก็ต้องปั่นขึ้นเขาอีก 18 กิโลเมตร ผ่านป่าที่ดูแห้งๆ แต่ฝั่งเวียดนามเป็นป่าที่ทึบกว่า มีพรรณไม้หลากหลายมากกว่า และมีคนปลูกพืช ทำไร่อยู่ตามเนินเขา ที่สำคัญมีลำธารสายยาวที่ไหลขนาบเคียงคู่ไปกับถนนสาย 12เอ และบางช่วงก็ไหลลอดใต้ถนน และกลับมาเคียงขนานกันไปอีกครั้ง เป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตร ภูเขา ต้นไม้ ลำธาร สะพาน กระท่อม เป็นภาพประกอบสองข้างทางของถนนที่ทอดยาวอ้อมเขาลูกแล้วลูกเล่า มันช่างเป็นวิวที่ผมเห็นแล้วเห็นอีกก็ยังไม่รู้สึกเบื่อ ใจอยากจะลงไปเล่นลำธารที่ไหลอยู่เบื้องล่างนั้นเสียจริง
ขณะเดียวกันความรู้สึกในใจก็เริ่มเปลี่ยนไป ผมเริ่มมีความหวาดระแวงจากสายตาของคนในพื้นที่ที่จ้องมองมา ทั้งที่เวลาผมปั่นจักรยานผ่าน หรือเวลาที่ผมจอดจักรยาน กลุ่มคนที่นั่งล้อมวงเล่นไพ่อยู่หันมามองผมเป็นทางเดียวกัน ราวกับเจอตัวประหลาด ผมไม่ค่อยชอบแววตาแบบนี้นัก มันจะดีมากหากมาพร้อมกับรอยยิ้มและคำทักทายรื่นหู แต่การจ้องมองโดยไม่ปริปากและสีหน้าที่บึ้งตึงมันทำให้คนที่ถูกมองคิดไปไกล อีกอย่าง ความทรงจำที่เลวร้ายซึ่งเกิดขึ้นกับผมทางตอนใต้ของเวียดนามเมื่อเกือบเจ็ดปีก่อน ภาพนั้นมันยังปรากฎอยู่ชัด ผมจึงอดระแวง และรู้สึกหวั่นไหวมากขึ้นไม่ได้เมื่อเข้าสู่พรมแดนของเวียดนามด้วยการเดินทางเพียงลำพังเหมือนในครั้งนั้น
ฝนยังคงตกปรอยๆ ต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มการเดินทางวันที่ 14 ผิดกับอากาศที่เมืองไทยที่ร้อนตับแลบ ถนนที่ผมปั่นยังคงเป็นสายเดิมที่ต่อมาจากลาว แต่สภาพของถนนฝั่งเวียดนามบางช่วงดูจะทรุดโทรม ชื่อถนนเปลี่ยนจากสาย 12 เป็นสาย 12A ผมปั่นไปตามถนนสายนี้ที่ไม่ค่อยจะมีรถสวนมา มีแต่รถบรรทุกและรถพ่วงขนาดใหญ่ที่แซงหน้าไป จนถึงช่วงหนึ่งก็เริ่มรู้สึกผิดสังเกต เพราะรถบรรทุกและรถโดยสารจอดอยู่บนถนนยาวเหยียดเป็นกิโลๆ เริ่มสังหรณ์ใจว่าข้างหน้าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ และเป็นเช่นนั้นจริงๆ รถบรรทุกชนกับรถพ่วง หน้ารถอัดเข้ากับหน้าผาหินริมถนน ท้ายรถปัดไปอีกฝั่งกลายเป็นจระเข้ยักษ์ขวางคลอง ตัวรถเอียงกะเท่เร่ค้างอยู่อย่างนั้นจนน่ากลัวว่ามันจะล้มลงมาทับคนที่ลอดผ่านไปมา
รถใหญ่ผ่านไม่ได้ ได้แต่รอเจ้าหน้าที่มาเคลียร์ทางให้ ส่วนรถเล็กอย่างมอเตอร์ไซค์ แก้ปัญหาด้วยการช่วยกันยกรถข้ามตรงช่องวางด้านหลังห้องคนขับ ทุลักทุเลไม่น้อยกว่าจะข้ามไปได้แต่ละคัน ส่วนผมก็ไม่รอเช่นกัน ปลดสัมภาระต่างๆออกจากจักรยาน แล้วขนลอดใต้ท้องรถบรรทุกไปอีกฝั่ง แล้วเอาสายเคเบิ้ลล็อคไว้ ทยอยขนไปจนเสร็จ ได้แผลจากการถูกเศษกระจกบาดที่หัวเข่ามานิดหน่อย จากนั้นค่อยยกจักรยานข้ามช่องรอยต่อระหว่างห้องคนขับกับตัวตู้คอนเทนเนอร์ ดีที่มีชาวเวียดนามช่วยยกด้วย จากนั้นก็ค่อยๆขนของผ่านท้ายรถพ่วงที่เอียงกะเท่เร่อีกด่านหนึ่ง จึงเอาสัมภาระขึ้นรถแล้วเดินทางต่อไป
ปั่นไปเรื่อยจนถนนสายนี้ไปบรรจบกับถนนโฮจิมินห์ มันต่างจากแผนที่ฉบับที่ผมซื้อมาดู ซึ่งไม่มีชื่อของถนนโฮจิมินห์ปรากฏอยู่เลย เมื่อถึงจุดที่ต้องเลือกว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ก็เลยต้องใช้ความรู้ภาษาเวียดนามที่มีอยู่กะท่อนกะแท่น ถามทางคนแถวนั้น ผมเลี้ยวซ้ายไปตามถนนโฮจิมินห์ และปั่นไปเรื่อยๆขึ้นเนินลงเนิน อ้อมเขาลูกนั่น ผ่านเขาลูกนี้ เป็นระยะทางร่วมหลายสิบกิโลเมตร ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงทางลงเขาเสียที
มีช่วงหนึ่งที่กำลงจอดจักรยานข้างทาง เอากล้องวิดีโอออกมาบันทึกภาพอยู่ เด็กวัยรุ่นสองคนขี่มาเตอร์ไซค์มาคนละคัน ชะลอรถเข้ามาหาผม ผมรีบเก็บกล้องแล้วปั่นจักรยานต่อทันที ผมทักทายพวกเขาและบอกเป็นภาษาเวียดนามว่า กำลังจะไปห่าติ่งห์ พวกเขาพูดว่า "ดีโบ ดีโบ" ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเขาต้องการพูดอะไร และต้องการอะไรจากผม แต่สถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจแบบนี้ ก็ทำให้ผมตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่มีผู้ชายนั่งอยู่หน้าบ้าน แล้ววัยรุ่นชายสองคนนั้นก็จากไป
เมื่อไปถึงทางแยกที่บอกว่าเชื่อมไปถนนสาย 15 ได้ ก็จอดแล้วควานหาแผนที่ในกระเป๋าสัมภาระออกมาดูเพื่อความแน่ใจ เพราะตามที่ศึกษามาเขาบอกให้แยกเข้าถนนสาย 17 เพื่อตรงไปจังหวัดห่าติ่งห์ มีคนมาช่วยดูแผนที่ แต่ก็ไม่ค่อยชัดเจน แต่อย่างน้อยก็รู้แหละว่าปั่นต่อไปข้างหน้าได้ มันยังมีทาง เจอตำรวจเลยเข้าไปถามทางว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน และจะไปห่าติ่งห์อย่างไร เส้นทางที่เขาบอกมานั้น มันไม่ใช่เส้นทางที่เราต้องการจะไป หากไปตามทางที่เขาบอก เราก็ควรจะเลยไปเมืองวิงห์เลย เพราะถ้าเข้าห่าติ่งห์ ก็จะอ้อม เสียเวลาไปอีก
คืนนั้นหาที่พักไม่ไกลจากจุดที่พบตำรวจมากนัก รวมแล้ววันนั้นก็ปั่นขึ้นลงเนินอยู่บนเขาเป็นระ.ยะทางประมาณ 60 กม.จากนั้นวันต่อมาก็ปั่นไปตามทางที่เขาบอก ผ่านเมืองเฮืองแค ไปจนถึงทางแยกไปห่าติ่งห์กับวิงห์ แต่ปรากฏเขากำลังทำทางอยู่ สภาพเส้นทางตอนนี้เป็นดินแดง และเนื่องจากฝนตก เลยทำให้ดินแดงเละเป็นดินเลนในบางช่วง ถามเขาดูว่าเป็นแบบนี้กี่กิโลเมตร ลุงที่นั่งอยู่แถวนั้นบอกว่า 5 กิโลเมตร เอาเถอะ ยังไงก็ต้องไป เพราะถ้าไม่แยกไปทางนี้ก็ต้องอ้อมไปตามถนนโฮจิมินห์
ผ่าน 5 กิโลเมตรไปแล้ว แต่สภาพเส้นทางที่หฤโหดนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดสิ้น กว่าจะหมดก็ 10 กิโลเมตรเข้าไปแล้ว ผ่านช่วงนี้ไปทางก็เริ่มดีขึ้น แต่มันเป็นทางเล็กๆในชนบท ปั่นผ่านไปก็ได้แวะดูวิวไปเรื่อยด้วย แวะถามทางคนไปเรื่อย ดูแผนที่จากมือถือประกอบไปด้วย จนในที่สุดก็ไปถึงทางแยกถนนสาย 6 ที่เชื่อมไปถึงถนนสาย 1A หรือ AH1 ที่เป็นถนนสายใหญ่ของเวียดนามตัดผ่านหัวเมืองสำคัญตั้งแต่เหนือจรดใต้
จากถนนสายนี้ยังต้องปั่นต่อไปอีก 300 กว่ากิโลเมตร เพื่อไปให้ถึงกรุงฮานอย รถราพลุกพล่านมากขึ้น เสียงแตรแทบไม่เคยหยุดเงียบ สองข้างทางส่วนใหญ่เป็นนาข้าวที่กำลังออกรวงสวยงาม ส่วนริมทางเต็มไปด้วยดอกหญ้าเล็กๆเต็มไปหมด ความเงียบสงบและวิวธรรมชาติป่าเขาที่เคยเห็น ก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงแห่งความอึกทึก แต่เสียงที่ยังไม่เคยเงียบลงคือเสียง "เฮลโล" ทักทายจากผู้คนสองข้างทาง บ้างก็มาจากคนบนรถบรรทุกนั่นแหละ ผมถูกจ้องมองจากสายตาแทบทุกคู่ที่ผมปั่นจักรยานผ่าน ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยเห็นใครทำอะไรแบบนี้มาก่อน แล้วก็มักจะตามมาด้วยเสียงตะโกนทักทาย และที่ผมรู้สึกแปลกคือ หลายคนที่ไม่แค่ส่งเสียงทักทายเท่านั้น แต่ยังกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผมไม่คิดว่าจะทำแบบนี้ ถ้าผมเจอคนปั่นจักรยานผ่านมา หรือมันเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่นี่ที่จะทักทายและกวักมือเรียกคนต่างถิ่นแบบนี้ ไม่ใช่เฉพาะในชนบท แต่ในเมืองก็ยังมีคนที่กวักมือเรียกเช่นนี้อยู่
นอกจากรถใหญ่ ก็มีรถจักรยาน มอเตอร์ไซค์ที่ใช้ร่วมทางบนถนนสายหลักที่มุ่งตรงไปกรุงฮานอย ชาวเวียดนนิยมใช้รถมอเตอร์ไซค์กันมาก เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว และยังมีการตัดแปลงเอาไปบรรทุกของต่างๆ ขณะกำลังปั่นจักรยานอยู่บนไหล่ทางที่บางช่วงก็กว้าง บางช่วงก็แคบ มอเตอร์ไซค์ที่ติดพ่วงคันหนึ่งก็แซงหน้าไปและหันกลับมามองข้างหลัง ปรากฏว่าพ่วงของเขาเฉี่ยวกระเป๋าด้านข้างจักรยานที่ติดอยู่ตรงล้อหนา ทำให้ผมต้องหยุดรถ ขณะที่หมอนั่นขี่มอเตอร์ไซค์ต่อจากไปอย่างไม่สนใจใยดี เป็นบทเรียนที่ทำให้ต้องระวังรถให้มากขึ้น
หลังจากเสร็จภารกิจในกรุงฮานอย ผมก็คงจะสามารถปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ และหยุดแวะพักได้ตามใจต้องการมากขึ้น คงจะได้ออกจากถนนสายใหญ่กลับไปปั่นบนถนนสายเล็กที่ตัดผ่านชนบทของเวียดนามอีกครั้ง และอาจจะได้ชื่นชมความงามของวิวสวยงามระคนไปกับความหวาดระแวงเช่นเดิม
I'm cycling around ASEAN countries...ฉันกำลังปั่นจักรยานในประเทศอาเซียน...我正在骑自行车到东盟国家。。。
Thursday, May 9, 2013
Wednesday, May 8, 2013
วันดีคืนร้ายที่บ้านนาแดน...ลาว
การเดินทางวันที่ 12 ผมเริ่มปั่นเข้าสู่ถนนหมายเลข 12 ที่เริ่มต้นจากเมืองท่าแขกของลาวไปถึงเวียดนาม ถือเป็นเส้นทางสายสั้นที่สุดที่สามารถเดินทางจากไทยไปถึงเวียดนาม เพราะระยะทางจากท่าแขกซึ่งอยู่ตรงข้ามอำเภอเมืองนครพนมของไทย ไปถึงพรมแดนลาว-เวียดนามแค่ 146 กิโลเมตรเท่านั้น
กว่าจะออกเดินทางได้ก็ 11 โมงกว่าเข้าไปแล้ว เพราะมัวแต่ไปทำธุระเรื่องซิมโทรศัพท์ที่ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้ และโน้ตบุ๊คที่ไม่รู้ว่าจะใช้กับซิมโทรศัพท์อย่างไร สุดท้ายแก้ไขได้แค่เรื่องแรก เอาไว้ไปถึงเวียดนามค่อยหาทางแก้ไขต่อ
ผมได้ลองขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านบางส่วนของถนนเส้นนี้ในการเที่ยวชมถ้ำตั้งแต่วันก่อนหน้าแล้ว วันนี้ได้มาปั่นจักรยานผ่านทางเดิมอีกครั้ง แต่ก็ยังรื่นรมย์กับการชมวิวภูเขาหินนับร้อยนับพันลูกอยู่ ดีที่ถนนสายนี้เป็นการตัดถนนไปบนทางราบที่ผ่านภูเขาหิน ไม่ได้เป็นถนนขึ้นเขา ก็เลยปั่นได้อย่างสบายๆเรื่อยๆ และไม่ได้เหนื่อยมากนัก ปั่นไปเรื่อยๆกิโลแล้วกิโลเล่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดวิวภูเขาหินที่มีต้นไม้เขียวๆขึ้นปกคลุมอยู่เสียที ก็นี่แหละคือวิวที่มองข้ามโขงมาเห็นตอนอยู่ที่นครพนม ตอนนั้นทึ่งมากกับวิวภูเขาสลับซับซ้อนในฝั่งลาว จนทำให้ตกใจเล็กน้อยว่า เส้นทางที่ผ่านภูเขาเหล่านี้จะเป็นอย่างไร
ผมหยุดแวะถ่ายภาพวิวสวยๆ ภาพเด็ก ภาพผู้คนไปเรื่อยๆ เด็กๆลาวส่งเสียงทักทาย "สะบายดี สะบายดี" เป็นระยะๆ บางคนก็เรียกผมว่า "ฝรั่งๆ" เขาคงนึกว่าคนที่ปั่นจักรยานปิดหน้าปิดตาอยู่นี่คือฝรั่งล่ะมั้ง
เส้นทางสายนี้ก็ไม่ถือว่าเปลี่ยวนัก มีบ้านคนอยู่เป็นระยะๆ ร้านค้าก็เห็นตลอดทาง เพียงแต่ไม่มีของให้เลือกกินได้มากนัก มีน้ำมีนมขาย ผมแวะศาลาที่มีชาวบ้านเอาของมาวางขาย เดินดูสินค้าต่างๆ มีเห็ด มีเขียด มีหน่อไม้ และก็มีมะพร้าว ซึ่งเป็นอย่างเดียวที่ซื้อกินได้ตอนนั้น นั่งพักไปด้วย กินไปด้วย ชาวบ้านต่างสนใจกับจักรยานและสอบถามเรื่องราวการเดินทางของผม
ผมเลยลองถามว่า ในลาวนี่ถ้าไปขอพักที่วัดเขาจะให้พักหรือเปล่า ชาวบ้านบางคนบอกว่าให้ บางคนก็ว่าไม่ให้ แต่เขาแนะนำให้เข้าไปหา "นายบ้าน" หรือ ผู้ใหญ่บ้านเพื่อแจ้งความประสงค์ก่อน
ปั่นไปเรื่อยๆก็ไปเจอตลาดริมทางที่ชาวบ้านเอาของป่ามาขาย ตอนกำลังจะจอดรถ ต้องตกใจกับสินค้าที่แม่ค้าผูกไว้กับเสาร่ม มันคืองูสิงห์ โอ้ สดๆเป็นๆยังมีชีวิตอยู่จากป่าของแท้เลย นอจากนั้นก็เจอเห็ดป่าหลายชนิด ทั้งดอกเล็กดอกใหญ่ เห็ดน้ำหมากก็มี ทำให้นึกถึงแกงเห็ดที่แม่เคยทำให้กินตอนเด็กๆ และไม่ได้กินแกงนี้มานานมากแล้ว จอดแวะดูแวะถ่ายรูป แวะคุยกับชาวบ้านถามนั่นถามนี่ไปเรื่อย แล้วก็ปั่นต่อไป
วิวภูเขาหินก็ยังคงไม่หมด บางลูกเป็นหน้าผาสูง เบื้องล่างเป็นทุ่งนา เป็นบ้านคน ขณะที่ผมกำลังคิดว่าคืนนี้จะไปพักที่ไหนดี ความคิดแว้บหนึ่งก็เกิดขึ้นว่า ถ้าหาที่พักไม่ได้จริงๆ ก็น่าจะเป็นป่าใต้หน้าผาภูเขาหินนี่แหละ มันคงเป็นบรรยากาศที่ดีมาก อาหารก็มีข้าวเหนียวกับแจ่วเหลือจากตอนมื้อกลางวัน ไม่ต้องห่วงว่าจะอด
แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ มองหันหลังไปดูเห็นดวงตะวันสีแดงกำลังเลื่อนลง ปั่นจักรยานไปด้วย มือก็หยิบกล้องในกระเป๋าออกมากะจะบันทึกภาพความงามนั้นไว้ แต่แค่เสี้ยววินาทีที่ผมเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมๆกับที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนตกลงจากท้องฟ้า เหลี่ยมมุมมันก็เปลี่ยนไป จนไม่เห็นภาพความงามนั้นเสียแล้ว
หมู่บ้านเริ่มอยู่ห่างกันมากขึ้น ขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะลองนอนข้างทางดีหรือไม่ เพราะฟ้าใกล้มืดและถ้าจะนอนจริงๆก็ต้องหาทำเลและกางเต็นท์ให้เสร็จก่อนมืด ต้องหามุมที่มองจากข้างทางไม่เห็น หลบสายตาคนหน่อย แต่จู่ๆก็ปั่นผ่านจุดที่เขากำลังก่อสร้าง และเห็นคนงานหลายคนกำลังทำกับข้าวกินกันอยู่ผมเลยแวะเข้าไปถามว่า ข้างหน้ามีหมู่บ้านคนหรือไม่ ตอนแรกกะว่าจะเขาเขากางเต็นท์นอนแถวนั้นด้วยซ้ำ พี่เขาบอกว่ามีหมู่บ้านนาแดน อยู่ห่างไปอีก 4 กิโลเมตร
ผมนับหลักกิโลที่ปั่นผ่านจากหลักกิโล 66 ไปจนถึง 63 ยังไม่ทันเจอหลักกิโล 62 ก็ถึงบ้านนาแดนที่พี่เขาบอกแล้ว ผมถามชาวบ้านว่าวัดอยู่ตรงไหน และตรงไปตามทางที่ชาวบ้านชี้บอกทันที
พอถึงประตูวัด เณรและเด็กที่เล่นกันอยู่แถวนั้นก็เปิดประตูต้อนรับ ราวกับรู้ว่า คืนนี้ผมจะมาขอค้างแรมที่นี่ ผมถามหาหลวงพ่อ เณรชี้ไปที่กุฏิยกพื้นใต้ถุนสูง ผมแหงนหน้าขึ้นมองก็เจอกับพระที่ยังไม่น่าจะเรียกว่าหลวงพ่อได้ เพราะท่านยังดูเด็กกว่าผมเสียอีก หลวงพี่บอกว่าขึ้นมานอนที่ชานด้านบนก็ได้ ผมก็เลยขนสัมภาระขึ้นไปวางไว้ที่นอกชาน เพราะตรงนี้อุ่นใจอยู่ใกล้พระ
หลังจากกางเต็นท์ขนสัมภาระเข้าไปเสร็จ ก็อาบน้ำ ซักผ้า แต่งตัว เตรียมออกไปหาของกิน แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน ก็เห็นชายสามคนเดินขึ้นมาที่กุฏิและเรียกผมไปคุย ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดจริงๆ
คนที่เป็นคนนำมากลับไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้าน แต่เป็นคนแถวนั้น เขาซักประวัติ ถามที่มาที่ไป เป็นคนที่ไหน ทำไมมาที่นี่ ผมก็เล่าไป แล้วเขาก็ขอดูหนังสือเดินทางของผม ผมก็หยิบมาให้ดู ถามอะไรมาก็ตอบไป จนหมดคำถาม จากนั้นก็เขียนบันทึกให้ผมเซ็นชื่อต่อท้ายว่าเป็นผู้มาขอพัก เสร็จธุระ ผมก็ขอตัวไปหาข้าวเย็นกิน
โชคดีที่มีไฟติดหัวมาด้วย เพราะทางที่ออกไปหน้าปากซอยมืดมาก ถ้าไม่มีไฟส่อง ก็แทบจะมืดสนิทเลยก็ว่าได้ ไปถึงร้านเฝอ เขาก็เกือบจะปิดร้านอยู่แล้ว เขาก็ยังอุตส่าห์ทำให้กิน กินอิ่มก็ปั่นจักรยานกลับวัด โดยมีน้องคำ เด็กชายในหมู่บ้านปั่นเป็นเพื่อนทั้งขาไปขากลับ กลับไปแล้วก็ยังเจอชาวบ้านกลุ่มเดิมนั่งอยู่ที่ชาน
ช่วงนั้นยังไม่หายดีจากอาการหวัด และยังไออยู่โดยเฉพาะในช่วงค่ำที่อากาศเย็น ไอจนเจ็บที่หน้าอกข้างขวา และคิดว่าได้เอนตัวลงนอนอาการน่าจะดีขึ้น แต่ยังไม่ทันที่จะนอนได้ถึงสองนาที ก็มีเจ้าบ้านคนใหม่มาหา คราวนี้เป็นตำรวจใส่เครื่องแบบมาเต็มยศเลยทีเดียว
อะไรกันนี่! นึกว่าจะคุยจนจบแล้ว นี่ถึงขนาดเรียกตำรวจมาคุยต่อเลยเหรอ ผมก็ต้องออกไปนั่งตอบคำถามตำรวจ ซึ่งหลายคำถามก็ซ้ำๆกับที่ชาวบ้านถามไปแล้ว เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเรา มาคนเดียวเกิดเป็นอะไรไปจะเป็นเรื่องใหญ่ ตำรวจหนุ่มลงไปสูบบุหรี่และโทรศัพท์ข้างล่างกุฏิพร้อมกับถือพาสปอร์ตผมไปด้วย ก่อนจะกลับขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้บอกว่า "ขอตรวจค้นเครื่อง"
นี่ผมเป็นผู้ต้องหาก่อคดีอาชญากรรมหรืออย่างไรกันนะ ผมเป็นแค่นักเดินทางด้วยการปั่นจักรยานมา และตกค่ำต้องหาที่พักค้างแรม มาขอความเมตตากรุณาจากที่วัด ก็แค่นั้น ถึงตอนนั้นทำไงได้ ตัวคนเดียว เป็นคนไทยคนเดียวในหมู่คนลาว เป็นผู้มาเยือนไม่ใช่เจ้าถิ่น เป็นเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ เขาต้องการอะไร ผมก็คงต้องยอมไปก่อน แม้ว่าผมคิดว่ามันออกจะเกินไปเสียหน่อย ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขนาดนี้ ผมคงยอมนอนค้างแรมในป่าที่ไม่มีคนมายุ่มยามให้ลำบากใจดีกว่า
เขาค้นของในกระเป๋าสัมภาระทุกใบที่ผมนำมา ถามว่านี่อะไร นั่นอะไร ผมก็อธิบายไปอย่างละเอียด จนสุดท้ายก็เก็บของคืน พี่ตำรวจบอกว่าจะเก็บพาสปอร์ตผมไว้ก่อน ตอนเช้าจะเอามาคืน ผมก็ยอม เขาบอกว่าจะมีตำรวจมานอนบนกุฏิเป็นเพื่อน ผมก็บอกขอบคุณครับ ดีจะได้มีเพื่อนนอน ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย
เขาบอกว่า เขากลัวเราเป็นอะไรไป เกิดนอนๆอยู่แล้วเกิดหายใจไม่ออก เป็นอะไรขึ้นมา จะได้มีคนช่วย ครับ ขอบคุณมากครับผมที่เป็นห่วงผมมากขนาดนี้
ถึงเวลาพักผ่อนของผมเสียที แทนที่ไดอะรี่วันนี้จะได้บันทึกเรื่องราวความสวยงามของวิวข้างทางที่ปั่นผ่านมาก่อน ผมก็รีบบันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำวันนั้นก่อนเรื่องอื่น เพราะผมสุดแสนจะประทับใจในความห่วงใยของเจ้าหน้าที่และชาวบ้านจริงๆ
ผมเขียนไดอะรี่จนเสร็จ ลุงคนหนึ่งที่มานอนอยู่ที่ชานด้วย หลับไปแล้ว ตำรวจที่ว่าจะมานอนเป็นเพื่อนก็ยังไม่เห็นมา คืนนี้หลังจากเข้าเต็นท์ไป ผมก็ไม่ออกมาอีกเลยจนรุ่งเช้า แม้ว่าจะปวดฉี่นิดหน่อย ก็อั้นเอาไว้ก่อน เพราะกลัวเหลือเกินว่าเขาจะห่วงผม ว่าผมตื่นมาลงไปห้องน้ำตอนดึก เป็นอะไรหรือเปล่า
หลังจากผ่านพ้นค่ำคืนนั้นไป เช้าวันต่อมา ฝนตกตั้งแต่เช้า ชาวบ้านผู้หญิงเอากับข้าวกับปลามาถวายพระ พอพระเณรฉันเช้าเสร็จ เขาก็จัดสำรับอาหารไว้ต้อนรับผมอย่างดี และให้น้องคำนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน กว่าฝนจะหยุดก็ 9 โมง ผมถึงได้ออกเดินทางต่อ ขอบคุณในน้ำใจของชาวบ้านนาแดน ตำรวจคนเดิมเอาพาสปอร์ตมาคืน และยังกำชับว่า อย่านอนป่า ถ้าไปยังไม่ถึงพรมแดนก็ให้หาหมู่บ้าน เข้าไปหา "นายบ้าน" ขอนอน
สรุปบทเรียนที่ได้จากค่ำคืนนั้น ก็คือ ถ้าหาที่พักไม่ได้ให้ไปหานายบ้าน อย่าไปวัด แล้วเดี๋ยวเขาจะช่วยจัดการเอง ก็เหมือนกับที่ชาวบ้านที่ตลาดริมทางแนะนำ ว่าให้ติต่อนายบ้านก่อนนั่นแหละ เพราะที่นี่ลาว ไม่ใช่ไทย ที่ค่ำไหนก็หาวัดแถวนั้นนอน ติดต่อพระได้โดยตรง แต่ถ้าไปติดต่อนายบ้านก่อนจะเจอเหตุการณ์แบบเมื่อคืนหรือเปล่า ผมไม่ได้ถามตำรวจ แต่ถ้าติดต่อแล้วยังเจอกระบวนการตรวจสอบแบบนี้ดี ผมว่านอนป่าอยู่กับธรรมชาติยังน่าอภิรมย์กว่า
กว่าจะออกเดินทางได้ก็ 11 โมงกว่าเข้าไปแล้ว เพราะมัวแต่ไปทำธุระเรื่องซิมโทรศัพท์ที่ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้ และโน้ตบุ๊คที่ไม่รู้ว่าจะใช้กับซิมโทรศัพท์อย่างไร สุดท้ายแก้ไขได้แค่เรื่องแรก เอาไว้ไปถึงเวียดนามค่อยหาทางแก้ไขต่อ
ผมได้ลองขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านบางส่วนของถนนเส้นนี้ในการเที่ยวชมถ้ำตั้งแต่วันก่อนหน้าแล้ว วันนี้ได้มาปั่นจักรยานผ่านทางเดิมอีกครั้ง แต่ก็ยังรื่นรมย์กับการชมวิวภูเขาหินนับร้อยนับพันลูกอยู่ ดีที่ถนนสายนี้เป็นการตัดถนนไปบนทางราบที่ผ่านภูเขาหิน ไม่ได้เป็นถนนขึ้นเขา ก็เลยปั่นได้อย่างสบายๆเรื่อยๆ และไม่ได้เหนื่อยมากนัก ปั่นไปเรื่อยๆกิโลแล้วกิโลเล่าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดวิวภูเขาหินที่มีต้นไม้เขียวๆขึ้นปกคลุมอยู่เสียที ก็นี่แหละคือวิวที่มองข้ามโขงมาเห็นตอนอยู่ที่นครพนม ตอนนั้นทึ่งมากกับวิวภูเขาสลับซับซ้อนในฝั่งลาว จนทำให้ตกใจเล็กน้อยว่า เส้นทางที่ผ่านภูเขาเหล่านี้จะเป็นอย่างไร
ผมหยุดแวะถ่ายภาพวิวสวยๆ ภาพเด็ก ภาพผู้คนไปเรื่อยๆ เด็กๆลาวส่งเสียงทักทาย "สะบายดี สะบายดี" เป็นระยะๆ บางคนก็เรียกผมว่า "ฝรั่งๆ" เขาคงนึกว่าคนที่ปั่นจักรยานปิดหน้าปิดตาอยู่นี่คือฝรั่งล่ะมั้ง
เส้นทางสายนี้ก็ไม่ถือว่าเปลี่ยวนัก มีบ้านคนอยู่เป็นระยะๆ ร้านค้าก็เห็นตลอดทาง เพียงแต่ไม่มีของให้เลือกกินได้มากนัก มีน้ำมีนมขาย ผมแวะศาลาที่มีชาวบ้านเอาของมาวางขาย เดินดูสินค้าต่างๆ มีเห็ด มีเขียด มีหน่อไม้ และก็มีมะพร้าว ซึ่งเป็นอย่างเดียวที่ซื้อกินได้ตอนนั้น นั่งพักไปด้วย กินไปด้วย ชาวบ้านต่างสนใจกับจักรยานและสอบถามเรื่องราวการเดินทางของผม
ผมเลยลองถามว่า ในลาวนี่ถ้าไปขอพักที่วัดเขาจะให้พักหรือเปล่า ชาวบ้านบางคนบอกว่าให้ บางคนก็ว่าไม่ให้ แต่เขาแนะนำให้เข้าไปหา "นายบ้าน" หรือ ผู้ใหญ่บ้านเพื่อแจ้งความประสงค์ก่อน
ปั่นไปเรื่อยๆก็ไปเจอตลาดริมทางที่ชาวบ้านเอาของป่ามาขาย ตอนกำลังจะจอดรถ ต้องตกใจกับสินค้าที่แม่ค้าผูกไว้กับเสาร่ม มันคืองูสิงห์ โอ้ สดๆเป็นๆยังมีชีวิตอยู่จากป่าของแท้เลย นอจากนั้นก็เจอเห็ดป่าหลายชนิด ทั้งดอกเล็กดอกใหญ่ เห็ดน้ำหมากก็มี ทำให้นึกถึงแกงเห็ดที่แม่เคยทำให้กินตอนเด็กๆ และไม่ได้กินแกงนี้มานานมากแล้ว จอดแวะดูแวะถ่ายรูป แวะคุยกับชาวบ้านถามนั่นถามนี่ไปเรื่อย แล้วก็ปั่นต่อไป
วิวภูเขาหินก็ยังคงไม่หมด บางลูกเป็นหน้าผาสูง เบื้องล่างเป็นทุ่งนา เป็นบ้านคน ขณะที่ผมกำลังคิดว่าคืนนี้จะไปพักที่ไหนดี ความคิดแว้บหนึ่งก็เกิดขึ้นว่า ถ้าหาที่พักไม่ได้จริงๆ ก็น่าจะเป็นป่าใต้หน้าผาภูเขาหินนี่แหละ มันคงเป็นบรรยากาศที่ดีมาก อาหารก็มีข้าวเหนียวกับแจ่วเหลือจากตอนมื้อกลางวัน ไม่ต้องห่วงว่าจะอด
แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ มองหันหลังไปดูเห็นดวงตะวันสีแดงกำลังเลื่อนลง ปั่นจักรยานไปด้วย มือก็หยิบกล้องในกระเป๋าออกมากะจะบันทึกภาพความงามนั้นไว้ แต่แค่เสี้ยววินาทีที่ผมเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมๆกับที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนตกลงจากท้องฟ้า เหลี่ยมมุมมันก็เปลี่ยนไป จนไม่เห็นภาพความงามนั้นเสียแล้ว
หมู่บ้านเริ่มอยู่ห่างกันมากขึ้น ขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะลองนอนข้างทางดีหรือไม่ เพราะฟ้าใกล้มืดและถ้าจะนอนจริงๆก็ต้องหาทำเลและกางเต็นท์ให้เสร็จก่อนมืด ต้องหามุมที่มองจากข้างทางไม่เห็น หลบสายตาคนหน่อย แต่จู่ๆก็ปั่นผ่านจุดที่เขากำลังก่อสร้าง และเห็นคนงานหลายคนกำลังทำกับข้าวกินกันอยู่ผมเลยแวะเข้าไปถามว่า ข้างหน้ามีหมู่บ้านคนหรือไม่ ตอนแรกกะว่าจะเขาเขากางเต็นท์นอนแถวนั้นด้วยซ้ำ พี่เขาบอกว่ามีหมู่บ้านนาแดน อยู่ห่างไปอีก 4 กิโลเมตร
ผมนับหลักกิโลที่ปั่นผ่านจากหลักกิโล 66 ไปจนถึง 63 ยังไม่ทันเจอหลักกิโล 62 ก็ถึงบ้านนาแดนที่พี่เขาบอกแล้ว ผมถามชาวบ้านว่าวัดอยู่ตรงไหน และตรงไปตามทางที่ชาวบ้านชี้บอกทันที
พอถึงประตูวัด เณรและเด็กที่เล่นกันอยู่แถวนั้นก็เปิดประตูต้อนรับ ราวกับรู้ว่า คืนนี้ผมจะมาขอค้างแรมที่นี่ ผมถามหาหลวงพ่อ เณรชี้ไปที่กุฏิยกพื้นใต้ถุนสูง ผมแหงนหน้าขึ้นมองก็เจอกับพระที่ยังไม่น่าจะเรียกว่าหลวงพ่อได้ เพราะท่านยังดูเด็กกว่าผมเสียอีก หลวงพี่บอกว่าขึ้นมานอนที่ชานด้านบนก็ได้ ผมก็เลยขนสัมภาระขึ้นไปวางไว้ที่นอกชาน เพราะตรงนี้อุ่นใจอยู่ใกล้พระ
หลังจากกางเต็นท์ขนสัมภาระเข้าไปเสร็จ ก็อาบน้ำ ซักผ้า แต่งตัว เตรียมออกไปหาของกิน แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน ก็เห็นชายสามคนเดินขึ้นมาที่กุฏิและเรียกผมไปคุย ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้าน ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดจริงๆ
คนที่เป็นคนนำมากลับไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้าน แต่เป็นคนแถวนั้น เขาซักประวัติ ถามที่มาที่ไป เป็นคนที่ไหน ทำไมมาที่นี่ ผมก็เล่าไป แล้วเขาก็ขอดูหนังสือเดินทางของผม ผมก็หยิบมาให้ดู ถามอะไรมาก็ตอบไป จนหมดคำถาม จากนั้นก็เขียนบันทึกให้ผมเซ็นชื่อต่อท้ายว่าเป็นผู้มาขอพัก เสร็จธุระ ผมก็ขอตัวไปหาข้าวเย็นกิน
โชคดีที่มีไฟติดหัวมาด้วย เพราะทางที่ออกไปหน้าปากซอยมืดมาก ถ้าไม่มีไฟส่อง ก็แทบจะมืดสนิทเลยก็ว่าได้ ไปถึงร้านเฝอ เขาก็เกือบจะปิดร้านอยู่แล้ว เขาก็ยังอุตส่าห์ทำให้กิน กินอิ่มก็ปั่นจักรยานกลับวัด โดยมีน้องคำ เด็กชายในหมู่บ้านปั่นเป็นเพื่อนทั้งขาไปขากลับ กลับไปแล้วก็ยังเจอชาวบ้านกลุ่มเดิมนั่งอยู่ที่ชาน
ช่วงนั้นยังไม่หายดีจากอาการหวัด และยังไออยู่โดยเฉพาะในช่วงค่ำที่อากาศเย็น ไอจนเจ็บที่หน้าอกข้างขวา และคิดว่าได้เอนตัวลงนอนอาการน่าจะดีขึ้น แต่ยังไม่ทันที่จะนอนได้ถึงสองนาที ก็มีเจ้าบ้านคนใหม่มาหา คราวนี้เป็นตำรวจใส่เครื่องแบบมาเต็มยศเลยทีเดียว
อะไรกันนี่! นึกว่าจะคุยจนจบแล้ว นี่ถึงขนาดเรียกตำรวจมาคุยต่อเลยเหรอ ผมก็ต้องออกไปนั่งตอบคำถามตำรวจ ซึ่งหลายคำถามก็ซ้ำๆกับที่ชาวบ้านถามไปแล้ว เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเรา มาคนเดียวเกิดเป็นอะไรไปจะเป็นเรื่องใหญ่ ตำรวจหนุ่มลงไปสูบบุหรี่และโทรศัพท์ข้างล่างกุฏิพร้อมกับถือพาสปอร์ตผมไปด้วย ก่อนจะกลับขึ้นมาอีกรอบ คราวนี้บอกว่า "ขอตรวจค้นเครื่อง"
นี่ผมเป็นผู้ต้องหาก่อคดีอาชญากรรมหรืออย่างไรกันนะ ผมเป็นแค่นักเดินทางด้วยการปั่นจักรยานมา และตกค่ำต้องหาที่พักค้างแรม มาขอความเมตตากรุณาจากที่วัด ก็แค่นั้น ถึงตอนนั้นทำไงได้ ตัวคนเดียว เป็นคนไทยคนเดียวในหมู่คนลาว เป็นผู้มาเยือนไม่ใช่เจ้าถิ่น เป็นเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ เขาต้องการอะไร ผมก็คงต้องยอมไปก่อน แม้ว่าผมคิดว่ามันออกจะเกินไปเสียหน่อย ถ้ารู้ว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขนาดนี้ ผมคงยอมนอนค้างแรมในป่าที่ไม่มีคนมายุ่มยามให้ลำบากใจดีกว่า
เขาค้นของในกระเป๋าสัมภาระทุกใบที่ผมนำมา ถามว่านี่อะไร นั่นอะไร ผมก็อธิบายไปอย่างละเอียด จนสุดท้ายก็เก็บของคืน พี่ตำรวจบอกว่าจะเก็บพาสปอร์ตผมไว้ก่อน ตอนเช้าจะเอามาคืน ผมก็ยอม เขาบอกว่าจะมีตำรวจมานอนบนกุฏิเป็นเพื่อน ผมก็บอกขอบคุณครับ ดีจะได้มีเพื่อนนอน ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย
เขาบอกว่า เขากลัวเราเป็นอะไรไป เกิดนอนๆอยู่แล้วเกิดหายใจไม่ออก เป็นอะไรขึ้นมา จะได้มีคนช่วย ครับ ขอบคุณมากครับผมที่เป็นห่วงผมมากขนาดนี้
ถึงเวลาพักผ่อนของผมเสียที แทนที่ไดอะรี่วันนี้จะได้บันทึกเรื่องราวความสวยงามของวิวข้างทางที่ปั่นผ่านมาก่อน ผมก็รีบบันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำวันนั้นก่อนเรื่องอื่น เพราะผมสุดแสนจะประทับใจในความห่วงใยของเจ้าหน้าที่และชาวบ้านจริงๆ
ผมเขียนไดอะรี่จนเสร็จ ลุงคนหนึ่งที่มานอนอยู่ที่ชานด้วย หลับไปแล้ว ตำรวจที่ว่าจะมานอนเป็นเพื่อนก็ยังไม่เห็นมา คืนนี้หลังจากเข้าเต็นท์ไป ผมก็ไม่ออกมาอีกเลยจนรุ่งเช้า แม้ว่าจะปวดฉี่นิดหน่อย ก็อั้นเอาไว้ก่อน เพราะกลัวเหลือเกินว่าเขาจะห่วงผม ว่าผมตื่นมาลงไปห้องน้ำตอนดึก เป็นอะไรหรือเปล่า
หลังจากผ่านพ้นค่ำคืนนั้นไป เช้าวันต่อมา ฝนตกตั้งแต่เช้า ชาวบ้านผู้หญิงเอากับข้าวกับปลามาถวายพระ พอพระเณรฉันเช้าเสร็จ เขาก็จัดสำรับอาหารไว้ต้อนรับผมอย่างดี และให้น้องคำนั่งกินข้าวเป็นเพื่อน กว่าฝนจะหยุดก็ 9 โมง ผมถึงได้ออกเดินทางต่อ ขอบคุณในน้ำใจของชาวบ้านนาแดน ตำรวจคนเดิมเอาพาสปอร์ตมาคืน และยังกำชับว่า อย่านอนป่า ถ้าไปยังไม่ถึงพรมแดนก็ให้หาหมู่บ้าน เข้าไปหา "นายบ้าน" ขอนอน
สรุปบทเรียนที่ได้จากค่ำคืนนั้น ก็คือ ถ้าหาที่พักไม่ได้ให้ไปหานายบ้าน อย่าไปวัด แล้วเดี๋ยวเขาจะช่วยจัดการเอง ก็เหมือนกับที่ชาวบ้านที่ตลาดริมทางแนะนำ ว่าให้ติต่อนายบ้านก่อนนั่นแหละ เพราะที่นี่ลาว ไม่ใช่ไทย ที่ค่ำไหนก็หาวัดแถวนั้นนอน ติดต่อพระได้โดยตรง แต่ถ้าไปติดต่อนายบ้านก่อนจะเจอเหตุการณ์แบบเมื่อคืนหรือเปล่า ผมไม่ได้ถามตำรวจ แต่ถ้าติดต่อแล้วยังเจอกระบวนการตรวจสอบแบบนี้ดี ผมว่านอนป่าอยู่กับธรรมชาติยังน่าอภิรมย์กว่า
Tuesday, May 7, 2013
ห่วงใย เข้าใจ ปล่อยไป
ภาพที่พ่อกับแม่ช่วยกันปะรูรั่วที่ก้นกระติกน้ำอย่างดีที่ธนาคารต่างชาติให้มาตอนสมัยเป็นนักข่าวสายธนาคาร ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความห่วงใยของท่าน กระติกน้ำที่ผมคิดจะโยนทิ้ง กลับมาใช้งานได้ดีและกลายเป็นของมีค่าขึ้นมาทันที
"เอาเสื้อลงยันต์นี้ไปด้วย" พ่อหยิบเสื้อแจ็กเก็ตที่มีลายปักยันต์เต็มด้านหลังข้างในที่ไปบูชามา มาให้สำหรับใส่ระหว่างเดินทางปั่นจักรยาน ลองใส่ดูก็พอดี แต่มันเป็นเสื้อที่ใส่แล้วร้อน ไม่เหมาะกับการใส่ปั่นจักรยานเลยสักนิด แต่เราก็รับไว้ เพราะรู้ว่าพ่อห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูก ส่วนตัวผมไม่เคยพกเครื่องลางของขลังพวกนี้เลยเวลาเดินทาง แต่เมื่อพ่อให้มา ก็รับไว้ และยัดใส่กระเป๋าเดินทางที่แน่นอยู่แล้ว คิดว่าอย่างน้อยก็คงจะได้ใช้ในงานทางการ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีเมื่อไหร่ เหอะๆ
ตอนแรกนึกว่าพ่อแม่จะคัดค้าน แต่ก็ผิดคาด นอกจากจะไม่คัดค้านแล้ว ยังพยายามช่วยเตรียมตัวเพื่อให้เราเดินทางได้อย่างราบรื่นขึ้น นี่แหละคือสิ่งที่ต้องการจากทางบ้าน เพราะถ้าพ่อกับแม่ค้าน ผมคงจะเสียกำลังในการเดินทางมาก
พ่อกับแม่คงจะเข้าใจนิสัยของผมดีว่า ถึงห้ามไปก็คงห้ามไม่ได้ เพราะเป็นคนดื้อ จะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ อีกอย่างผมเองก็โตแล้ว และมีประสบการณ์ในการเดินทางมากพอสมควร นับตั้งแต่ประสบการณ์เดินทางต่างประเทศคนเดียวครั้งแรก คือตอนกลับจากสหรัฐฯที่แวะเที่ยวที่นครซานฟรานซิสโกคนเดียวก่อนกลับ เดินทางไปจีนคนเดียวด้วยรถทัวร์และรถไฟ เดินเท้ากลับบ้านจากจังหวัดเลยถึงชัยภูมิ หลังจากลาสิกขา ปั่นจักรยานจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนคนเดียว เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวหลายครั้ง
สุดท้าย พ่อกับแม่ก็ต้องปล่อยผมไปตามทางที่ผมเลือกเอง โดยท่านได้แต่คอยให้คำแนะนำ และคอยดูเราอยู่ห่างๆ
แม่ออกมาส่งผมที่หน้าบ้าน ผมอัดวิดีโอตอนที่บอกลาแม่ และอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เมื่อเห็นแม่ร้องไห้ เพราะผมรู้ว่านั่นคือน้ำตาแห่งความห่วงหาอาทรที่แม่มีต่อผม ผมบอกแม่ว่า ผมรู้ว่ามันเหนื่อย แต่อยากจะลองทำดู ขอให้แม่คอยดูการเดินทางของผมทางเฟซบุ๊คที่ให้ไว้
ผมปั่นจักรยานออกถนนใหญ่ที่อยู่หน้าบ้านไปเพียงลำพัง ถึงเวลาต้องไปอย่างโดดเดี่ยวอีกครั้ง ผมชินกับการเดินทางคนเดียว การอยู่กับตัวเองแบบนี้ ขอบคุณพ่อกับแม่มากที่ห่วงใย และเข้าใจ และปล่อยผมให้โบยบินไปอย่างอิสระเสรีบนเส้นทางที่ผมเลือกเอง
"เอาเสื้อลงยันต์นี้ไปด้วย" พ่อหยิบเสื้อแจ็กเก็ตที่มีลายปักยันต์เต็มด้านหลังข้างในที่ไปบูชามา มาให้สำหรับใส่ระหว่างเดินทางปั่นจักรยาน ลองใส่ดูก็พอดี แต่มันเป็นเสื้อที่ใส่แล้วร้อน ไม่เหมาะกับการใส่ปั่นจักรยานเลยสักนิด แต่เราก็รับไว้ เพราะรู้ว่าพ่อห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูก ส่วนตัวผมไม่เคยพกเครื่องลางของขลังพวกนี้เลยเวลาเดินทาง แต่เมื่อพ่อให้มา ก็รับไว้ และยัดใส่กระเป๋าเดินทางที่แน่นอยู่แล้ว คิดว่าอย่างน้อยก็คงจะได้ใช้ในงานทางการ ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีเมื่อไหร่ เหอะๆ
ตอนแรกนึกว่าพ่อแม่จะคัดค้าน แต่ก็ผิดคาด นอกจากจะไม่คัดค้านแล้ว ยังพยายามช่วยเตรียมตัวเพื่อให้เราเดินทางได้อย่างราบรื่นขึ้น นี่แหละคือสิ่งที่ต้องการจากทางบ้าน เพราะถ้าพ่อกับแม่ค้าน ผมคงจะเสียกำลังในการเดินทางมาก
พ่อกับแม่คงจะเข้าใจนิสัยของผมดีว่า ถึงห้ามไปก็คงห้ามไม่ได้ เพราะเป็นคนดื้อ จะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ อีกอย่างผมเองก็โตแล้ว และมีประสบการณ์ในการเดินทางมากพอสมควร นับตั้งแต่ประสบการณ์เดินทางต่างประเทศคนเดียวครั้งแรก คือตอนกลับจากสหรัฐฯที่แวะเที่ยวที่นครซานฟรานซิสโกคนเดียวก่อนกลับ เดินทางไปจีนคนเดียวด้วยรถทัวร์และรถไฟ เดินเท้ากลับบ้านจากจังหวัดเลยถึงชัยภูมิ หลังจากลาสิกขา ปั่นจักรยานจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนคนเดียว เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวหลายครั้ง
สุดท้าย พ่อกับแม่ก็ต้องปล่อยผมไปตามทางที่ผมเลือกเอง โดยท่านได้แต่คอยให้คำแนะนำ และคอยดูเราอยู่ห่างๆ
แม่ออกมาส่งผมที่หน้าบ้าน ผมอัดวิดีโอตอนที่บอกลาแม่ และอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เมื่อเห็นแม่ร้องไห้ เพราะผมรู้ว่านั่นคือน้ำตาแห่งความห่วงหาอาทรที่แม่มีต่อผม ผมบอกแม่ว่า ผมรู้ว่ามันเหนื่อย แต่อยากจะลองทำดู ขอให้แม่คอยดูการเดินทางของผมทางเฟซบุ๊คที่ให้ไว้
ผมปั่นจักรยานออกถนนใหญ่ที่อยู่หน้าบ้านไปเพียงลำพัง ถึงเวลาต้องไปอย่างโดดเดี่ยวอีกครั้ง ผมชินกับการเดินทางคนเดียว การอยู่กับตัวเองแบบนี้ ขอบคุณพ่อกับแม่มากที่ห่วงใย และเข้าใจ และปล่อยผมให้โบยบินไปอย่างอิสระเสรีบนเส้นทางที่ผมเลือกเอง
ยางมงคล
บ่ายวันที่สองของการเดินทาง ผมปั่นจักรยานมาถึงปากช่องแล้ว และกำลังจะเข้าลำตะคองในอีกไม่นาน แต่จู่ๆก็รู้สึกว่าปั่นแล้วล้อมันไม่ค่อยอยากจะหมุนไปตามแรง เมื่อจอดและสอดสายตามองดูจึงรู้ว่า ยางรั่วแล้ว
เป็นเรื่องธรรมดาของการปั่นจักรยานเดินทาง ไม่ช้าก็เร็วที่ต้องพบเจอกับปัญหานี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตีโพยตีพาย ก็รู้ว่ามันรั่วแล้วก็เปลี่ยน ปะ จัดการกับมันให้เรียบร้อยเพื่อให้ปั่นต่อไปได้ ก็แค่นั้น
ผมจัดการถอดล้อ งัดยางในออกมา เอายางอะไหล่ที่เตรียมมาเปลี่ยน แต่ปรากฏว่าหัววาล์วมันใหญ่เกินรูที่ขอบล้อ จำใจต้องเอายางเส้นเดิมที่รั่วมาปะ ครั้นจะปะ กาวก็หมด ยังดีที่มีร้านปะยางอยู่ใกล้ ไปขอซื้อกาว เขาใจดีแบ่งมาให้ไม่คิดสตางค์ แถมกำชับว่า อย่าเอาไปดมนะ โถ่ พี่ ผมเหมือนเด็กติดยาหรือไง
ถ่ายวิดีโอไปด้วย ปะยางไปด้วย เหงื่อหยดติ๋งๆ เด็กหญิงในร้านอาหารได้แต่นั่งมองแล้วยิ้มในท่าทางประหลาดของเรา ไม่สนใจใคร เดินทางคนเดียว ก็ต้องทำเองทุกอย่าง แบบนี้แหละ
ใช้พื้นที่หน้าร้านอาหารปะยางจนเสร็จ เลยซื้อน้ำร้านเขาดื่มซะหน่อย จากนั้นค่อยออกเดินทางต่อ ปั่นมาได้หน่อยเดียว บังเอิญ เจอคุณลุงที่มีสัมภาระพะรุงพะรังบนจักรยานเหมือนเรา กำลังนั่งเขียนบันทึกการเดินทางอยู่ริมถนน ประหนึ่งเป็นโซฟาชั้นดี ไม่ได้กลัวรถราคันใหญ่ๆจะวิ่งมาเฉี่ยวมาชนเลย
ผมเลยหยุดแวะทักทาย คุณลุงซะหน่อย คุยไปคุยมา เลยรู้ว่าแกก็กำลังจะปั่นไปลาว เข้าเวียดนามเหมือนกัน แถมแกเป็นคนนครพนม จังหวัดที่ผมกำลังจะเดินทางไปด้วย สัมภาษณ์คุณลุงเสร็จ พอจะเดินทางต่อปรากฏว่า ยางเริ่มแบนลงนิดหน่อย อาการนี้แสดงว่ามีการซึมออกของลมที่รอยแผลปะยาง ชัวร์
ตอนนั้นแก้ปัญหาด้วยการเติมลมยางให้มันพอปั่นไปถึงที่จะพักค้างแรมคืนนี้ก่อน แล้วค่อยจัดการแก้ปัญหา โชคดี ปั่นไปไม่กี่กิโลเมตร ก็ถึงลำตะคอง เลยถามหาร้านปะยาง เขาบอกให้ปั่นย้อนกลับเข้าไปทางประตูวัด เวลาก็เริ่มเย็นแล้ว ปั่นได้แค่ 70 กิโลเมตรเท่านั้น เอาเหอะ ในเมื่อถึงเวลาต้องหยุดก็หยุด ถามหาร้านซ่อม หาจนเจอ แต่ช่างกลับไม่อยู่ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยขอพระคุณเจ้ากางเต๊นท์นอนในบริเวณวัดเสียเลย เป็นการนอนวัดคืนที่สองติดกัน
ตกค่ำ หลังจากลงไปเล่นน้ำในลำตะคอง เป็นการอาบน้ำเย็นไปในตัว กลับมาแต่งตัว เตรียมเอายางไปปะ เจ้าของร้านปะยางก็ยังไม่อยู่ เลยไปหาข้าวกิน กลับมาก็ยังไม่กลับ เมียเจ้าของร้านเลยคะยั้นคะยอลูกชายวัยรุ่นอายุประมาณ 14-15 ปี ช่วยปะยางให้เรา แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ปะแล้วก็ยังรั่วซึม เลยแก้ปัญหาด้วยการเอาขอบล้อมาให้น้องเขาใช้สว่านคว้านรูให้มันใหญ่ขึ้นเพื่อใส่ยางอะไหล่ที่เตรียมมาได้
เช้าวันต่อมาเตรียมออกเดินทาง รู้สึกว่ายางหลังยางอ่อนไปหน่อย จึงกลับไปร้านปะยางข้างวัดเหมือนเดิม คราวนี้เจอพี่ผู้ชายเจ้าของร้านแล้ว เติมลมเสร็จ โบกมือบ๊ายบายเตรียมเดินทางต่อ ยังไม่ทันไร เสียงตูม ดังขึ้น จนคนแถวนั้นตกใจ ยางหลังระเบิด ไม่เป็นไร ยังเหลือยางอะไหล่เส้นสุดท้าย จัดการเอาสัมภาระออกจากจักรยานแล้วเปิดกระเป๋าเอายางเส้นสุดท้ายออกมา
ปรากฎว่านอกจากยางในที่มีปัญหา ยางนอกก็มีปัญหา ขอบยางเริ่มเสื่อม หรือนี่คือสาเหตุที่ทำให้ยางระเบิด แต่จะทำไงได้ ต้องปั่นต่อ ไว้ค่อยไปหาซื้อยางนอกมาเปลี่ยนที่หลัง ส่วนช่างแนะนำให้เอายางเก่าของพี่เขามาใช้ เพราะเขาไม่ได้ใช้แล้ว เขาห่วงว่าเราจะปั่นไปไม่ถึงไหน แต่ผมก็เกรงใจเขาจริงๆ เลยยืนยันใช้ของตัวเอง พอเติมลมเข้าไป ยางก็ระเบิด สุดท้าย ไม่เหลืออะไรเลย ยางนอกก็ใช้ไม่ได้ ยางในก็หมดเกลี้ยง จำเป็นต้องอาศัยยางของพี่เจ้าของร้านปะยางที่เขาให้ลูกชายกุลีกุจอไปหามาให้ และโชคดีที่ใช้ได้ ทั้งยางนอกยางใน ทำให้เราปั่นต่อไป พี่เขายืนยันว่าแบบนี้ไปได้อีกไกล แต่แนะนำให้เราไปหายางนอกยางในเปลี่ยนที่ สีคิ้ว
ผมปั่นออกจากร้าน ขึ้นสู่ถนนใหญ่ด้วยความรู้สึกตื้นตัน จนอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ อย่าหาว่าเว่อร์เลย แต่มันรู้สึกว่า สิ่งที่เขาทำให้กับเราโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ค่าบริการก็ไม่คิดซักบาท มันคือน้ำใจที่เราได้รับมาเต็มๆอก จนมันดันให้น้ำในตาของเราไหลออกมา ขอบคุณมากจริงๆครับ
ปั่นไปจนถึง สีคิ้ว จัดการเปลี่ยนยางนอกยางใน เตรียมอะไหล่ให้พร้อม เสร็จแล้วเดินทางกลับบ้านต่อ ส่วนยางเก่าเส้นนั้น เก็บไว้เป็นอะไหล่ ไปไหนไปด้วย จากเดิมที่ไม่คิดจะพกยางอะไหล่ แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ทำให้ผมรู้สึกว่ามีติดตัวไว้สักเส้นก็อุ่นใจดีเหมือนกัน โดยเฉพาะยางเส้นเก่าที่พี่เขาให้มาเส้นนี้ มันกลายเป็นของมงคล ที่มีติดท้ายจักรยานไว้แล้ว มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เผื่อเกิดปัญหา หรือพบเจอคนที่เขาต้องการใช้มัน เราก็จะได้ใหเขาได้ใช้ต่อ เป็นการส่งต่อความดี หรือที่เขาเรียกว่า pay it forward
เป็นเรื่องธรรมดาของการปั่นจักรยานเดินทาง ไม่ช้าก็เร็วที่ต้องพบเจอกับปัญหานี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตีโพยตีพาย ก็รู้ว่ามันรั่วแล้วก็เปลี่ยน ปะ จัดการกับมันให้เรียบร้อยเพื่อให้ปั่นต่อไปได้ ก็แค่นั้น
ผมจัดการถอดล้อ งัดยางในออกมา เอายางอะไหล่ที่เตรียมมาเปลี่ยน แต่ปรากฏว่าหัววาล์วมันใหญ่เกินรูที่ขอบล้อ จำใจต้องเอายางเส้นเดิมที่รั่วมาปะ ครั้นจะปะ กาวก็หมด ยังดีที่มีร้านปะยางอยู่ใกล้ ไปขอซื้อกาว เขาใจดีแบ่งมาให้ไม่คิดสตางค์ แถมกำชับว่า อย่าเอาไปดมนะ โถ่ พี่ ผมเหมือนเด็กติดยาหรือไง
ถ่ายวิดีโอไปด้วย ปะยางไปด้วย เหงื่อหยดติ๋งๆ เด็กหญิงในร้านอาหารได้แต่นั่งมองแล้วยิ้มในท่าทางประหลาดของเรา ไม่สนใจใคร เดินทางคนเดียว ก็ต้องทำเองทุกอย่าง แบบนี้แหละ
ใช้พื้นที่หน้าร้านอาหารปะยางจนเสร็จ เลยซื้อน้ำร้านเขาดื่มซะหน่อย จากนั้นค่อยออกเดินทางต่อ ปั่นมาได้หน่อยเดียว บังเอิญ เจอคุณลุงที่มีสัมภาระพะรุงพะรังบนจักรยานเหมือนเรา กำลังนั่งเขียนบันทึกการเดินทางอยู่ริมถนน ประหนึ่งเป็นโซฟาชั้นดี ไม่ได้กลัวรถราคันใหญ่ๆจะวิ่งมาเฉี่ยวมาชนเลย
ผมเลยหยุดแวะทักทาย คุณลุงซะหน่อย คุยไปคุยมา เลยรู้ว่าแกก็กำลังจะปั่นไปลาว เข้าเวียดนามเหมือนกัน แถมแกเป็นคนนครพนม จังหวัดที่ผมกำลังจะเดินทางไปด้วย สัมภาษณ์คุณลุงเสร็จ พอจะเดินทางต่อปรากฏว่า ยางเริ่มแบนลงนิดหน่อย อาการนี้แสดงว่ามีการซึมออกของลมที่รอยแผลปะยาง ชัวร์
ตอนนั้นแก้ปัญหาด้วยการเติมลมยางให้มันพอปั่นไปถึงที่จะพักค้างแรมคืนนี้ก่อน แล้วค่อยจัดการแก้ปัญหา โชคดี ปั่นไปไม่กี่กิโลเมตร ก็ถึงลำตะคอง เลยถามหาร้านปะยาง เขาบอกให้ปั่นย้อนกลับเข้าไปทางประตูวัด เวลาก็เริ่มเย็นแล้ว ปั่นได้แค่ 70 กิโลเมตรเท่านั้น เอาเหอะ ในเมื่อถึงเวลาต้องหยุดก็หยุด ถามหาร้านซ่อม หาจนเจอ แต่ช่างกลับไม่อยู่ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยขอพระคุณเจ้ากางเต๊นท์นอนในบริเวณวัดเสียเลย เป็นการนอนวัดคืนที่สองติดกัน
ตกค่ำ หลังจากลงไปเล่นน้ำในลำตะคอง เป็นการอาบน้ำเย็นไปในตัว กลับมาแต่งตัว เตรียมเอายางไปปะ เจ้าของร้านปะยางก็ยังไม่อยู่ เลยไปหาข้าวกิน กลับมาก็ยังไม่กลับ เมียเจ้าของร้านเลยคะยั้นคะยอลูกชายวัยรุ่นอายุประมาณ 14-15 ปี ช่วยปะยางให้เรา แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ปะแล้วก็ยังรั่วซึม เลยแก้ปัญหาด้วยการเอาขอบล้อมาให้น้องเขาใช้สว่านคว้านรูให้มันใหญ่ขึ้นเพื่อใส่ยางอะไหล่ที่เตรียมมาได้
เช้าวันต่อมาเตรียมออกเดินทาง รู้สึกว่ายางหลังยางอ่อนไปหน่อย จึงกลับไปร้านปะยางข้างวัดเหมือนเดิม คราวนี้เจอพี่ผู้ชายเจ้าของร้านแล้ว เติมลมเสร็จ โบกมือบ๊ายบายเตรียมเดินทางต่อ ยังไม่ทันไร เสียงตูม ดังขึ้น จนคนแถวนั้นตกใจ ยางหลังระเบิด ไม่เป็นไร ยังเหลือยางอะไหล่เส้นสุดท้าย จัดการเอาสัมภาระออกจากจักรยานแล้วเปิดกระเป๋าเอายางเส้นสุดท้ายออกมา
ปรากฎว่านอกจากยางในที่มีปัญหา ยางนอกก็มีปัญหา ขอบยางเริ่มเสื่อม หรือนี่คือสาเหตุที่ทำให้ยางระเบิด แต่จะทำไงได้ ต้องปั่นต่อ ไว้ค่อยไปหาซื้อยางนอกมาเปลี่ยนที่หลัง ส่วนช่างแนะนำให้เอายางเก่าของพี่เขามาใช้ เพราะเขาไม่ได้ใช้แล้ว เขาห่วงว่าเราจะปั่นไปไม่ถึงไหน แต่ผมก็เกรงใจเขาจริงๆ เลยยืนยันใช้ของตัวเอง พอเติมลมเข้าไป ยางก็ระเบิด สุดท้าย ไม่เหลืออะไรเลย ยางนอกก็ใช้ไม่ได้ ยางในก็หมดเกลี้ยง จำเป็นต้องอาศัยยางของพี่เจ้าของร้านปะยางที่เขาให้ลูกชายกุลีกุจอไปหามาให้ และโชคดีที่ใช้ได้ ทั้งยางนอกยางใน ทำให้เราปั่นต่อไป พี่เขายืนยันว่าแบบนี้ไปได้อีกไกล แต่แนะนำให้เราไปหายางนอกยางในเปลี่ยนที่ สีคิ้ว
ผมปั่นออกจากร้าน ขึ้นสู่ถนนใหญ่ด้วยความรู้สึกตื้นตัน จนอดกลั้นน้ำตาไว้ได้ อย่าหาว่าเว่อร์เลย แต่มันรู้สึกว่า สิ่งที่เขาทำให้กับเราโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ค่าบริการก็ไม่คิดซักบาท มันคือน้ำใจที่เราได้รับมาเต็มๆอก จนมันดันให้น้ำในตาของเราไหลออกมา ขอบคุณมากจริงๆครับ
ปั่นไปจนถึง สีคิ้ว จัดการเปลี่ยนยางนอกยางใน เตรียมอะไหล่ให้พร้อม เสร็จแล้วเดินทางกลับบ้านต่อ ส่วนยางเก่าเส้นนั้น เก็บไว้เป็นอะไหล่ ไปไหนไปด้วย จากเดิมที่ไม่คิดจะพกยางอะไหล่ แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ทำให้ผมรู้สึกว่ามีติดตัวไว้สักเส้นก็อุ่นใจดีเหมือนกัน โดยเฉพาะยางเส้นเก่าที่พี่เขาให้มาเส้นนี้ มันกลายเป็นของมงคล ที่มีติดท้ายจักรยานไว้แล้ว มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เผื่อเกิดปัญหา หรือพบเจอคนที่เขาต้องการใช้มัน เราก็จะได้ใหเขาได้ใช้ต่อ เป็นการส่งต่อความดี หรือที่เขาเรียกว่า pay it forward
Subscribe to:
Posts (Atom)