Saturday, June 8, 2013

ฮานอย...เมืองหลวงน่าปั่น สวรรค์นักชิม

          หนึ่งสัปดาห์เต็มๆที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในกรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม และหลงสเน่ห์เมืองนี้เข้าให้แล้ว นี่เป็นการเยือนกรุงฮานอยครั้งที่ 3 แต่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าได้มาถึงฮานอยแล้ว

           อาจจะเป็นเพราะการได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานกว่าครั้งก่อน มีเวลาอิสระเดินทางไปโน่นมานี่บนถนนที่พลุกพล่านไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ในกรุงฮานอย ทำให้ผมเห็นภาพที่ต่างจากเดิม เห็นความมีชีวิตชีวาของเมืองนี้ และเริ่มจะหลงรักเมืองนี้ แม้ว่ารถราจะเยอะ ผู้คนจะขวักไขว่ แต่ผมรู้สึกว่าการเดินทางด้วยจักรยานในกรุงฮานอยเป็นอะไรที่สะดวกสบายมาก แม้ว่าจะพบเจอผู้คนส่วนใหญ่ใช้มอเตอร์ไซ์ในการสัญจร แต่ก็มีคนไม่น้อยที่ใช้จักรยาน

           จักรยานนอกจากจะเป็นพาหนะของคนทั่วไปแล้ว ยังเป็นร้านค้าเคลื่อนที่ ที่พร้อมนำสินค้าร้อยแปดชนิดไปนำเสนอให้แก่คนถึงบ้าน ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้นานาชนิด อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้าน ดอกไม้ ต้นไม้ ขนม เต้าหู้ ไปจนถึงมีดประเภทต่างๆ และอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน ถนนในฮานอยไม่ใหญ่มากนักและมีเป็นร้อยๆสาย เชื่อมต่อกัน ตัดกัน ทำให้การไปไหนแต่ละแห่งซอกแซกไปได้ เลี้ยวซ้ายที ขวาที แต่ต้องจำถนนให้ได้ว่าสายไหนเป็นสายไหน ดังนั้นคนที่ไปใช้ชีวิตในฮานอยไม่กี่วันอย่างผมก็ยังหลงทางอยู่ ปั่นไปโผล่ตรงนั้นตรงนี้ แต่สุดท้ายก็ถามทางคนกลับมาถึงที่พักจนได้ คนเวียดนามส่วนใหญ่จะจำชื่อถนนได้และรู้ว่าอยู่ตรงไหน คงเป็นเพราะเขาจำเป็นต้องจำในการเดินทางในชีวิตประจำวัน เวลาถามทางก็บอกชื่อถนนไป หรือเวลาบอกทางให้คนมาหาก็บอกเลขที่ตั้งของสถานที่นั้นพร้อมกับชื่อถนน

           ความวุ่นวายบนท้องถนนที่มองจากสายตาของคนนอก หรือผู้มาเยือน เอาเข้าจริงๆเมื่อลองมาใช้ชีวิตที่ฮานอย ผมกลับรู้สึกว่า มันคือการรู้จักแบ่งปันและผ่อนสั้นผ่อนยาวกันมากกว่า ถนนเขาไม่มีการแบ่งว่าเส้นนี้ใช้ได้เฉพาะรถ นี่เป็นเลนจักรยาน หรือนั่นเป็นทางมอเตอร์ไซค์ จะมีก็แต่ฟุตบาทที่สร้างไว้เฉพาะให้คนเดินเท่านั้น คนที่ใช้รถทุกประเภทจะใช้ถนนเล็กๆนั้นร่วมกัน และระมัดระวังซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นจึงมักไม่ค่อยมีอุบัติเหตุบนท้องถนน แม้ว่าจะมีการรีบออกรถขณะไฟจราจรยังแดงอยู่และไฟเขียวยังไม่ทันขึ้น หรือการแซงเพื่อตัดเลน แต่แน่ล่ะเสียงแตรรถก็ดังอยู่แทบไม่หยุด แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่นี่

           ร้านค้าต่างๆในกรุงฮานอย ก็จะมีที่จอดรถมอเตอร์ไซค์และจักรยานอยู่หน้าร้าน แถมมียามคอยเฝ้าให้ บางจุดก็จะเป็นที่จอดที่ต้องจ่ายค่าจอดตามระยะเวลา เพราะฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยจึงมีอยู่สูง แม้ว่าจะล็อคจักรยานโดยไม่ได้ยึดกับเสาหรือของที่เคลื่อนที่ไม่ได้ก็ตาม

           ตอนนี้มีร้านจักรยานทันสมัย ประเภทเสือภูเขา เยอะมากๆ ปั่นไปเจอบังเอิญหลายร้าน  แต่ร้านที่ทั้งรับซ่อมและขายจักรยาน มีไม่กี่ร้าน หนึ่งในนั้นคือร้านจักรยานริมทะเลสาปเวสต์เลคชื่อร้านเอ็กซ์ตาซี่ ซึ่งแบรนด์นี้มีหลายสาขา แต่อย่าคิดว่าจะเหมือนกัน เพราะเคยลองไปติดต่ออีกสาขาหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่พัก ปรากฏว่าไม่สนใจใยดีเราเลย ผิดกับร้านที่อยู่ริมทะเลสาปที่เป็นแบรนด์เดียวกัน แต่เขายินดีซ่อมยินดีบริการเต็มที่

           นอกจากนั้นการขี่จักรยานและมอเตอร์ไซค์ในฮานอยยังช่วยให้แวะทำธุระต่างๆสะดวกสบาย เพราะร้านรวงต่างๆจะตั้งอยู่ติดถนน ไม่ได้ไปรวมกันอยู่ในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ส่วนบนทางเท้าก็จะมีร้านค้าและธุรกิจอีกหลายประเภท ไม่ใช่แต่เฉพาะร้านอาหารที่หลายคนคุ้นตา แต่ยังมีร้านตัดผม ช่างขัดรองเท้า ร้านรับซ่อมจักรยาน ทำกุญแจ อยู่ตามหัวมุมต่างๆ แต่ที่มากที่สุดก็คงไม่พ้นร้านอาหารบนทางเท้า ที่มีโต๊ะเตี้ยๆและเก้าอี้เล็กๆให้คนนั่งกินเป็นเอกลักษณ์ของเวียดนาม

           การปั่นจักรยานในฮานอย จะช่วยทำให้เห็นภาพเมืองหลวงแห่งนี้ในมุมต่างๆ บางมุมก็ดูวุ่นวาย แต่บางมุมก็ดูเงียบสงบอย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยถนนหนทางที่เชื่อมต่อกันทั้งเมือง ขอมีเพียงแผนที่ และฝึกถามทางเป็นภาษาเวียดนามสักหน่อยก็ช่วยได้ และจะสนุกกับการปั่นจักรยานในเมืองหลวงแห่งนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะปั่นเที่ยว ปั่นไปทำธุระ หรือปั่นไปหาของกินอร่อยๆ

           ใครที่ชอบชิม ชอบกิน ชอบหาของอร่อย รับรองได้ว่าต้องหลงรักฮานอย เพราะเมืองนี้ของกินเยอะมาก เอาแค่อาหารบนทางเท้า ก็มีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ได้มีเฉพาะเฝอ ที่เป็นเมนูสิ้นคิด เวลาไปเวียดนามของใครหลายคน เหมือนกับผัดกระเพราหมูสับใส่ใข่บ้านเรา แต่ถ้าลองไปเดินสำรวจดูร้านอาหารข้างทาง จะเห็นว่ามีของหน้าตาหน้ากินอีกเพียบ ทั้งคาว หวาน รวมทั้งเครื่องดื่มยอดฮิตอย่างชามะนาว

           เย็นวันแรกในฮานอย กินเฝอไก่กับเพื่อน ซึ่งถือเป็นเมนูพื้นๆของคนเวียด หากินได้ทุกที่ มื้อกลางวันวันที่สองเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันที่สถานีโทรทัศน์เวียดนาม พาไปกินข้าวผัด หรือที่ภาษาเวียดนามเรียกว่า "เกิมรัง" มีสองแบบคือแบบผัดใส่เนื้อมาเลย กับผัดเฉพาะข้าวแล้วแยกกับมาอีกจาน เย็นวันที่สองนี้ได้ลอง "บุ๋นฉ่า" เส้นบุ๋นก็คือเส้นขนมจีนบ้านเรานั่นแหละ ส่วนเส้นเฝอก็คือก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กบ้านเรา บุ๋นฉ่าจะเป็นการกินขนมจีนกับ หมูย่างที่แช่ในน้ำซอสใสๆ แกล้มกับผักสด เป็นเมนูพื้นๆที่อร่อยมากเมนูหนึ่ง และผมชอบมากกว่าเฝอ วันที่สามเพื่อนเวียดนามเลี้ยงข้าวเป็นอาหารทะเลบนทางเท้า กินหอย แตงกวา มะม่วงจิ้มพริกเกลือ มันทอด แกล้มเบียร์ฮานอย ตามด้วยปลาหมึกปิ้ง กั้งเผาราดซอสมะขาม ตบท้ายด้วยข้าวต้มใส่หอย อร่อยเด็ดในราคาสองคนประมาณเกือบหนึ่งพันบาท มันแพงที่กั้ง หรือภาษาเวียดนามเรียกว่า "เบเบ"

          วันที่สี่เพื่อนอีกคนพาไปกิน "หน่อม" (ออกเสียงสั้นๆหนักๆ) ซึ่งผมของตั้งฉายาให้ว่า "ส้มตำเวียดนาม" เพราะเมนูนี้เขาใช้เส้นมะละกอทำ และใส่น้ำซอส ใส่เนื้อแผ่น ใส่หมูแดง ใส่ถั่วและผัก อร่อยดี

          อีกวันเพื่อนที่สถานีโทรทัศน์เวียดนาม ชวนไปกินเบียร์มื้อกลางวัน เขาจะอาหารมาเป็นชุดๆมาเป็นกับแกล้ม จานแรกคือถั่วต้ม จานที่สองคือปลาหมืกปิ้ง จานที่สามคือเต้าหู้ผัดกับผักที่น้ำซุปซึมเข้าไปในเนื้อเต้าหู้ เวลากัดน้ำจากข้างในจะไหลออกมา อร่อยมาก จานที่สี่คือปลาทอดกรอบ ติดใจเมนูนี้มาก เพราะปลาที่เขาเอามาทอดกรอบกินได้ทั้งตัวนั้น ท้องมันเต็มไปด้วยไข่ เวลากลางตัวปลาดูตามขวางจะเห็นแต่ไข่เต็มไปหมด กินกับน้ำจิ้ม อีกจานเป็นข้าวโป่งใส่งา คือแผ่นแป้งที่เอาไปอังไฟให้มันพอง และปิดท้ายด้วยข้าวผัด

 

          วันถัดมาสมาคมนักข่าวเวียดนามพาไปเที่ยวจังหวัดนิงห์บิ่งห์ ซึ่งมีอาหารขึ้นชื่อคือเนื้อแพะภูเขา มื้อเที้ยงวันนี้เลยมีแต่แพะ แบะๆๆๆ ลองกินทุกเมนู เอาเนื้อแพะห่อใส่แผ่นแป้งและผัก ตักน้ำจิ้มคล้ายถั่วใส่ ส่วนเมนูที่หน้าตาคล้ายซุปสีแดง มีถั่วโรย ทำจากเลือดแพะ ไม่มีใครในกลุ่มคนไทยกล้าลองชิม รวมถึงผมด้วย เพราะไม่รู้ว่าสุกหรือเปล่า แต่มื้อนี้ก็ผ่านไปอย่างเปรมปรีด์ เพราะว้อดก้าที่เจ้าหน้าที่สมาคมนักข่าวของนิงห์บิ่งห์เทให้แก้วต่อแก้ว ดีที่แก้วมันเล็กกระจิ๋วเดียว แต่กินไปร่วมสิบแก้วได้ ก็เล่นเอาเกือบเซเหมือนกัน
          
            ส่วนมื้อเย็นอีกวันหนึ่งเจ้าหน้าที่สมาคมนักข่าวเวียดนามพาไปเลี้ยงข้าวเย็น ร้านปลาทอดลาหว่อง ร้านดังที่มีสาขาของจริงอยู่สองสาขาในฮานอย แต่มีสาขาเก๊อีกหลายร้าน แถมตั้งอยู่เยื้องๆกันอีกต่างหาก บนถนนที่เชื่อว่า "จ๋าก๋า" หรือแปลว่า "ปลาทอด" นั่นแหละ เมนูนี้ เขาทอดปลาในกระทะร้อนตั้งอยู่กลางโต๊ะ ใส่ผักชีลาวกับหอม สุกแล้วตักใส่ถ้วยใครถ้วยมัน ราดด้วยน้ำกะปิ ตักถั่วลิสงโรยใส่หน่อย กินกับผักสดอีกหลายชนิด และเส้นบุ๋น หรือ ขนมจีน

           มื้อที่ไปกินคนเดียวก็เดินไปแถวทะเลสาปห่วนเกี๋ยม ของกินบนถนนใกล้ๆทะเลสาปเยอะมาก ลองกินข้าวหมูพะโล้ใส่ไข่ที่เหมือนไข่ลูกเขย เพียงแต่ไม่มีซอสมะขามราด ถ้วยละ 27,000 ด่อง ลองกิน "บุ๋นอ๊กบ์" (ออกเสียงว่า อ๊ก แล้วหุบปาก) หรือ เส้นขนมจีนในน้ำซุปที่ใส่หอย มีผักสดแกล้ม ชามละ 40,000 ด่อง เท่านั้น ในน้ำซุปมีกะปิด้วยนิดหนึ่ง
           ส่วนวันก่อนเดินทางออกจากฮานอย กินข้าวกับเพื่อนที่ร้านก๋วนอันงอน ซึ่งเป็นร้านที่อยากจะแนะนำเพราะมีเมนูอาหารหลากหลายจากทั่วทุกภาคของเวียดนาม เลือกกินได้ตามใจชอบในราคาที่ไม่ถือว่าแพง แม้จะแพงกว่ากินร้านทั่วไปหรือร้านบนทางเท้าก็ตาม

           มื้อนี้ได้กินแหนมสด แกล้มเบียร์ และแผ่นแป้งห่อผักกับหมูต้ม อีกจานเป็นแผ่นแป้งห่อผักกับกุ้งพันอ้อย ปิดท้ายด้วยของหวานที่ใส่มาในแก้ว มีทับทิมกรอบ วุ้น ถั่วเหลือง ตกเย็นไปหากินข้าว ก็เจอบะหมี่ใส่เป็ดตุ๋นพะโล้ เขาบอกว่าเรียกว่า "เหมียน กา ตอน" เป็นอีกเมนูที่ติดใจ ในราคา 40,000 ด่อง ยังไม่พอ ยังกินเนื้อปิ้งเสียบไม้ ที่ภาษาเวียดนามเรียกว่า "ถิด เซียน" อีกหนึ่งไม้ ไม้ละ 10,000 ด่อง

           ของหวานก็ได้ลองกินไอติม ซึ่งมีเยอะมาก ร้านดังจะอยู่แถวถนน "จ่างเตี่ยน" ถนน "ทังห์เนียน" และแถวทะเลสาปห่วนเกี๋ยม คนต่อแถวซื้อกันไม่ขาดสาย


           นอกจากนั้นก็มีของหวานข้างทาง บางอย่างหน้าตาเหมือนของไทย แต่เขาใส่โยเกิร์ต ทำให้รสชาติออกเปรี้ยว ไม่หวานเหมือนของไทย อ้อ ถ้าอยากจะลองโยเกิร์ต หรือไอศครีม และนม ยี่ห้อ "วีนา" รสชาติดี นอกจากนั้นก็ยังได้ลองขนมรถจักรยานที่เรียกว่า "โบ่เมี้ยะ" เป็นแผ่นแป้งโรตีสายไหม ห่อใส่เส้นมะพร้าว แล้วก็มีงา แล้วก็อะไรอีกอย่างไม่รู้ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับอ้อย หรือเปล่า เพราะ ชื่อคล้ายกัน เป็นขนมหวานอันละแค่ 5,000 ด่องเท่านั้น พูดถึงน้ำอ้อย ขอบอกว่าคนเวียดนามชอบกินน้ำอ้อยมา มีขายอยู่แทบจะทุกที่ แก้วละ 7,000-10,000 ด่อง

           นี่ยังไม่นับร้านกาแฟ ที่มีอยู่แทบทุกสิบก้าว คนเวียดนามนิยมกินกาแฟมาก แม้แต่ช่วงกลางคืนเขาก็นั่งกินกัน มีเยอะจนไม่รู้ว่าจะนั่งร้านไหนดี และร้านที่บรรยากาศน่านั่งก็มีอยู่ไม่มาก อ้อ บนนถนนเลียบทะเลสาปเวสต์เลคมีอยู่หลายร้านที่น่านั่ง กาแฟโบราณของเวียดนาม ที่ใส่กระดาษกรองแล้วให้มันหยดลงในถ้วย เรียกว่า "กาแฟฟิม" ฟิม หมายถึงหม้อเล็กๆที่วางไว้บนถ้วยกาแฟให้น้ำกาแฟหยดลงในถ้วย ถ้าใส่นมก็เรียกว่า "กาแฟเสือ" เพราะ เสือ แปลว่า นม

           อาหารเวียดนามรสชาติดี และราคาไม่แพง โดยเฉพาะอาหารข้างทาง ถ้ารู้จักหรือยิ่งมีเพื่อนเวียดนามพาไปกิน จะได้รู้ว่ายังมีของดีอีกเยอะ อร่อยๆทั้งนั้น อยู่ทั้งเดือนยังไม่รู้ว่าจะกินหมดหรือเปล่า แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่า ฮานอย เป็นสวรรค์ของนักชิมไปได้ยังไงล่ะ สิ่งเดียวที่ต้องระวังคือ ระวังของจะหล่นจากกระเป๋ากางเกงเวลานั่งบนเก้าอี้เตี้ยๆ ตอนที่กำลังกินเพลินๆ

           

          
 

 

No comments:

Post a Comment