Thursday, August 15, 2013

จาก กรุงเทพ...เมืองเทวดา ถึง เมืองคนดี...สุราษฎร์ธานี

การเดินทางวันที่ 109-119 จากกรุงเทพฯถึงอุทยานแห่งชาติคลองพนม สุราษฎร์ธานี

          บ่ายสามของวันที่ 4 สิงหาคม 2556 วันที่ 109 ของการเดินทาง เราขึ้นขี่จักรยานคันเดิมพร้อมสัมภาระฟุลโหลดอีกครั้ง ถือเป็นการออกเดินทางที่สายมากที่สุดนับตั้งแต่ออกเดินทางมา แต่เรารอต่อไม่ได้แล้ว เพราะตามแผนเราควรจะออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมแล้วด้วยซ้ำ แต่มัวแต่สะสางปัญหาบางอย่างอยู่ ตอนแรกกะว่าออกเดินทางวันแรกจะไปค้างคืนที่อัมพวา แต่ด้วยเวลาล่วงเลยมาเกือบเย็น คงไม่สามารถปั่นไปถึงอัมพวาที่อยู่ห่างออกไปกว่า 70 กิโลเมตรได้แน่นอน ก็เลยโทรหาเพื่อนที่อยู่แถวพระราม 2 เพื่อไปพักบ้านเธอ

           เช้าวันต่อมาจึงออกเดินทางต่อ โดยปั่นไปตามถนนบางขุนเทียนชายทะเล ซึ่งมีทางหลวงชนบทไปจนถึงตัวเมืองสมุทรสาคร จากนั้นจึงกลับเข้าสู่เส้นพระราม 2 อีกครั้ง แต่ไม่ได้แวะตลาดน้ำอัมพวาตามที่คิดไว้แล้ว เพราะมันต้องแยกออกไปจากทางหลัก เราปั่นต่อไปตามทางหลวงสายชนบทที่มีป้ายบอกเป็นทางไปถึงหาดเจ้าสำราญ หาดปึกเตียน และหาดชะอำของเพชรบุรี วิวสองข้างทางส่วนใหญ่มีแต่นาเกลือ จนกระทั่งก่อนถึงหาดเจ้าสำราญประมาณ 20 กม. ฟ้าก็ใกล้มืด เลยหาที่พักเป็นวัดแถวนั้น บังเอิญเจ้าอาวาสไม่อยู่ พระที่เฝ้าวัดเลยไม่กล้าให้นอน บอกให้ไปหาป้อมยามตำรวจที่อยู่หน้าวัด สุดท้ายเขาก็บอกให้กางเต็นท์นอนใต้ศาลาที่มีพระพุทธรูปสีขาวประดิษฐานอยู่ด้านหน้าโบสถ์ไม้สักหลังงาม ที่มีคนมานอนเฝ้าตอนกลางคืน ช่วงหลังๆรู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากวัดนัก อาจจะเป็นเพราะผมยาวรกรุงรัง ทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่น่าไว้วางใจหรือเปล่า

วัดนอกปากทะเล ก่อนถึงหาดเจ้าสำราญ 20 กม.
         เราแวะเที่ยวชมหาดสามหาดที่อยู่ตามทางทางมาเรื่อย นักท่องเที่ยวบางตา บรรยากาศดูเงียบเหงา ชะอำดูคึกคักกว่าเพื่อน ที่นี่เราลองเอาเครื่องมือไขเพื่อปรับตรงสายเกียร์ เพราะรู้สึกว่าโซ่กับอุปกรณ์เปลี่ยนสายเกียร์มันชิดกันเกิน ทำให้เกิดเสียงเวลาปั่น แต่แทนที่จะแก้ปัญหาได้ กลับทำแย่กว่าเดิม แต่ก็พอปั่นต่อไปจนถึงหัวหิน โดยกลับเข้าสู่ถนนเพชรเกษมอีกครั้งหนึ่ง เส้นทางลัดทางหลวงชนบทสายนี้ ทำให้เราไม่ได้ปั่นผ่านตัวเมืองเพชรบุรี ไม่ได้ผ่านเขาวัง ไม่ได้เห็นร้านขายขนมหม้อแกงแม่กิมไล้ กิมอะไรต่างๆ

           ปั่นมาถึงหัวหินตอนเย็นๆ จนเกือบมืดแล้ว พยายามหาที่พักราคาถูก แต่เต็ม ที่เหลืออยู่ก็ 400-500 บาททั้งนั้น จนกระทั่งมาเจอเกสต์เฮ้าส์ชื่อ King's Home เขามีห้อง 200 บาท ดูแล้วเป็นเหมือนห้องเก็บของใต้หลังคา เวลาเข้าห้องต้องปืนบันได เปิดประตูดันขึ้น เหมือนบ้านต้นไม้ เจ้าของเกสต์เฮ้าส์เรียกห้องนี้ว่า ทรีเฮ้าส์ เห็นแล้วก็ตัดสินใจเอาเลย ขี้เกียจหา แม้ว่ารู้สึกว่าถ้าพิจารณาเฉพาะสภาพห้องที่เล็กแบบนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แถมใช้ห้องน้ำรวม ควรจะราคาแค่ 100 บาท แต่อีก 100 บาท ถือเป็นการซื้อความฝัน เพราะชอบห้องแบบนี้ ดูมีโลกส่วนตัวเล็กๆ คืนนั้นก็เลยเหมือนได้ย้อนวัย เหมือนเด็กได้ของขวัญชิ้นใหม่ แต่ไม่ได้เห่อของขวัญนานนัก ก็ออกไปเดินดูหัวหินยามค่ำคืน หนีไม่พ้นไนท์บาซาร์


พักห้องใต้หลังคาที่เกสต์เฮ้าส์ในหัวหิน
          ได้กางเกงที่เหมาะกับการปั่นจักรยานมา 1 ตัว แม้ว่าราคาจะแพงไปหน่อย ตั้ง 430 บาทแน่ะ ต่อแล้วนะนั่น มันเป็นกางเกงคล้ายกางเกเล แต่เอวเป็นยางยืดมีสายผูกด้วย เป้ายานๆ ขาลีบ ไม่บานเหมือนกางเกงเล ใส่ปั่นจักรยานได้ไม่ต้องกลัวเข้าโซ่ ใส่นอนได้ไม่ร้อน กันยุงกัดขาได้ด้วย ช่วงหลังมีปัญหากับยุงมากเหลือเกิน เข็ดกับแผลพุพองจากการเกาเพราะอาการคันจากยุงกัด

          วันต่อมาก็ปั่นออกจากหัวหินพร้อมกับกางเกงตัวใหม่ที่คาดว่าจะกลายเป็นตัวเก่ง หลังจากเอาจักรยานไปเปลี่ยนสายเกียร์ใหม่แล้ว แต่เสียงผิดปกติก็ยังมีอยู่ เอาไว้ไปแก้ที่ภูเก็ตอีกทีก็แล้วกัน กะว่าจะเปลี่ยนจานหน้าและโซ่ใหม่ด้วย เพราะมันเก่าและสึกแล้ว ปั่นออกจากหัวหินได้ไม่กี่กิโล ก็เจอปัญหายางรั่วอีกแล้ว หลังจากเช้าเมื่อวานก็เพิ่งเปลี่ยนยางในไปหยกๆ คราวนี้ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนยางนอกเส้นใหม่เลย เพราะเส้นเดิมที่ใช้งานมากว่า 6000 กิโลเมตรนั้น ดอกยางสึกแล้ว นั่นเองคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เศษแก้ว เศษหิน เข้าไปติดคาอยู่ในเนื้อยาง และทำให้ยางในรั่วบ่อยๆ

          วันนี้ปั่นเกือบถึงกุยบุรี บังเอิญเจอป้อมยามตำรวจริมทางที่มีป้ายว่า ฟรีไวไฟ ก็เลยลองเข้าไปขอกางเต็นท์นอน มีตำรวจเข้าเวรอยู่คนหนึ่ง เป็นคนอีสานภาคเดียวกัน แกเลยดูจะใส่ใจเรามาก ย้ำนั่นย้ำนี้ จัดที่ทางให้เรากางเต็นท์นอน ก่อนที่แกจะออกไปธุระ นี่เป็นคืนที่สองที่ได้นอนกับตำรวจ คืนแรกอยู่แถวระยอง ชลบุรีโน่น นอนกับตำรวจก็สบายใจดีเรื่องความปลอดภัย ห้องน้ำห้องท่าก็สะดวก แถมที่นี่มีสัญญาณไวไฟให้ใช้ฟรีด้วย

          ช่วงนี้ปั่นจักรยานไปตามถนนเพชรเกษม ถนนสายหลักที่มุ่งลงภาคใต้ของไทย รถราเยอะ แต่เราก็ปั่นอยู่บนไหล่ทางไปเรื่อยๆ ระหว่างที่คิดว่าคืนนี้จะไปนอนวัดหรือนอนป้อมยามดี ก็ปั่นผ่านป้ายที่บอกว่าทางเข้าอุทยานแห่งชาติหาดวนกรอยู่ข้างหน้าอีกไม่กี่กิโล ณ วินาทีนั้น ก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะเข้าไปกางเต็นท์นอนที่หาดแห่งนี้ ซึ่งเราเคยมาอบรมพร้อมกับเพื่อนก่อนไปโครงการเรือเยาวชนเมื่อปี 2548

          หาดวนกร วันนี้ต่างจาก 8 ปีก่อนมาก อาคารเก่าถูกรื้อถอน มีอาคารใหม่แทนที่ แปลกตาจากเดิม ที่เหมือนเดิมก็คือสวนสนริมหาดที่ยาวตลอดแนวเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ เราหาทำเลกางเต็นท์นอนอยู่ในสวนสนริมหาด ห่างไปไม่กี่สิบเมตรก็มีนักปั่นทัวร์ริ่งอีกคนกางเต็นท์นอนอยู่ เราทักทายเขาตอนเขาเดินเล่นที่ชายหาด พี่เขาพยักหน้าให้ จากท่าทางของแก เราว่าแกคงอาจจะต้องการโลกส่วนตัว ไม่อยากพูดคุยกับใคร เราเลยไม่ได้เข้าไปพูดคุยทำความรู้จัก ทั้งที่อยากจะเข้าไปคุยเรื่องการเดินทางกับพี่แกอยู่เหมือนกัน

เตรียมกางเต็นท์นอนริมหาดวนกร

          ในที่สุดเราก็ได้เล่นน้ำทะเล แบบเต็มที่ โดยไม่ต้องทนแสบแผลที่ขาแล้ว แผลหายทิ้งแต่รอยแผลเป็นไว้หลายรอยให้ดูต่างหน้า เป็นการเตือนใจให้ระวังยุง ระวังมือ อย่าเกาพร่ำเพรื่อ เดี๋ยวจะกลายเป็นแบบเดิมอีก

          เช้าวันต่อมา กว่าจะออกจากหาดก็สายเกือบเที่ยงแล้ว ปั่นไปเรื่อยๆ ตามถนนสายเดิม แต่ก็ยังไม่ออกจากเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เสียที คืนนี้ได้มาขอค้างคืนที่วัดริมทาง กางเต็นท์นอนหน้ากุฏิพระ มีปลั๊กให้เสียบชาร์จไฟ มีพัดลมพัดให้นอนหลับสบาย หลวงพ่อกับหลวงพี่ ดูจะสนใจการเดินทางของเรามาก ท่านสอบถาม หลายเรื่อง เราก็นั่งเล่าให้ท่านฟังถึงการเดินทางที่ผ่านมาสามเดือน และแผนการเดินทางในช่วงต่อจากนี้อีกสี่ถึงห้าเดือน ซึ่งเราเองก็ยังไม่ค่อยชัดเจนเรื่องเส้นทางนัก นี่เราชะล่าใจเกินไปหรือเปล่าเนี่ย

          เราตัดสินใจที่จะแวะเที่ยวเกาะเต่า โดยนั่งเรือจากชุมพร แล้วไปขึ้นฝั่งที่สุราษฏร์ธานีค่อยปั่นต่อไปภูเก็ต เพราะช่วงหลายวันมานี้ปั่นติดต่อกันไม่ได้พักเลย จนรู้สึกกล้ามเนื้อมันล้าไปหมดทั้งตัว อยากจะพักเต็มที่แล้ว

          ปั่นไปถึงท่าเรือท่ายางนอกเมืองชุมพรประมาณ 7 กม.เพื่อขึ้นเรือแพขนาดใหญ่ ห้องโดยสายติดแอร์และมีเตียงให้นอนด้วย ราคาตั๋ว 400 บาท เขาคิดค่าจักรยานอีก 100 บาท เรือลำใหญ่จนแทบไม่รู้สึกถึงคลื่นลมในทะเลเวลาเรือแล่น แต่แอร์ที่ตกลงมาบริเวณเตียงที่เรานอนพอดี ทำให้หนาวและนอนหลับไม่ค่อยสบายนัก เช้ามืดตีสี่กว่า เรือก็เทียบท่าที่เกาะเต่าแล้ว เราต้องเอาจักรยานขึ้นจากเรือ แล้วมานอนต่อที่ศาลาพักผู้โดยสาร แต่ก็หลับไม่ต่อเนื่อง พอฟ้าสว่างก็ปั่นจักรยานออกไปหาที่พัก

เรือแพขนาดใหญ่ จากชุมพรไปเกาะเต่า
         ช่วงนี้นักท่องเที่ยวฝรั่งเต็มเกาะเต่าไปหมด จนทำให้ที่พักส่วนใหญ่จะเต็ม หาที่พักราคาถูกยากมาก ถูกสุดเท่าที่เจอก็คือ 300 บาท คืนแรกพักแบบบังกาโลหลังละ 500 บาท มันก็โอเคนะ แต่เราอยากได้ที่ถูกกว่านี้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่เพราะเหนื่อยและต้องการพักเต็มที เลยยอมจ่าย แล้วเราก็งีบหลับไปเพราะความเมื่อยล้า กล้ามเนื้อมันล้าไปหมด กว่าจะลุกจากเตียงก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ถึงได้ออกไปดูนั่นดูนี่

         เกาะเต่า เล็กกว่าที่คิด ดีไม่ดี อาจจะเล็กเท่าๆกับเกาะล้านด้วยซ้ำ กว้าง 3 กม.กว่า ยาว 7 กม.กว่า ถนนสายหลักที่รถยนต์ขับไปได้ก็มีแค่นิดเดียว ระหว่างที่ปั่นหาหาดฟรีดอมบีชอยู่นั่น ก็เจอร้านซ่อมจักรยาน เลยแวะให้ช่างดูเรื่องสายเกียร์ให้สักหน่อย แต่ช่างเขาแก้ไขเรื่องเบรกหลังให้ด้วย เสร็จแล้วยังให้แผนที่เกาะเต่ามาดูพร้อมแนะนำที่เที่ยวเสร็จสรรพ บริการดีจริงๆ

         บนเกาะอะไรๆก็แพง เพราะกว่าจะขนขึ้นลงเรือก็เสียค่าใช้จ่ายไปเยอะแล้ว ราคาสินค้าจึงต้องบวกเพิ่มตามต้นทุน แต่ก็ยังถูกกว่าสินค้าไทยที่ขายในลาวอยู่ดี ราคาข้าวราดแกงหนึ่งอย่างที่นี่ 40 บาทถูกสุด สองอย่าง 60 บาท ตามสั่งขั้นต่ำก็ 60 บาทต่อจาน ดีที่เราไม่ต้องเสียค่าเดินทางระหว่างอยู่บนเกาะ เพราะใช้จักรยานเป็นพาหนะเดินทางไปโน่นมานี่ตลอด

         ในที่สุดก็หาทางไปลงหาดฟรีดอมจนเจอ บรรยากาศคล้ายๆกับหาดส่วนตัวเลย เพราะต้องผ่านรีสอร์ทก่อน หาทางลงหาดสาธารณะไม่เจอ หาดนี้เป็นหาดเล็กๆ มีปะการังและปลาเล็กๆหลายสีให้ดูด้วย ที่เห็นเพราะเอาแว่นตาว่ายน้ำติดไปด้วย ก็เลยได้ดำดูความสวยงามใต้น้ำบ้างนิดหน่อย ปะการังที่หาดนี่ใหญ่ และคล้ายสมองมนุษย์ ส่วนใหญ่จะเห็นแบบนี้ แบบอื่นไม่ค่อยมี นอกจากนั้นก็มีปลิงทะเลสีม่วงอ่อน และหอยเม่น เอกลักษณ์ของหาดนี้อีกอย่างก็คือนักท่องเที่ยวจะเก็บเปลือกหอย และของที่อยู่ริมหาด มาร้อยแล้วผูกห้อยไว้ที่กิ่งไม้ริมหาด ก็เลยมีคนทำตามๆกัน จนกลายเป็นมู่ลี่ห้อยอยู่ตามกิ่งไม้ นอกจากนี้ก็มีชิงช้าอยู่หลายอันด้วย อ้อ ที่สำคัญที่นี่มองเห็นแหลมที่มีหินขนาดใหญ่วางตั้งๆกันสูงขึ้นไปบนเขา สวยมาก เขาเรียกว่าหินตาโต๊ะ เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ของเกาะ แล้วก็มีศาลตาโต๊ะให้คนกราบไหว้ด้วย

ปะการังริมฝั่งที่หาดฟรีดอม เกาะเต่า
        เพลิดเพลินกับการเล่นน้ำจนเกือบฟ้ามืด ก็กลับ แวะกินอาหารตามสั่งก่อนกลับที่พักนอน ที่เกาะเต่ามีโรงเรียนสอนดำน้ำเยอะมาก แล้วเขาทำในลักษณะเป็นรีสอร์ทคือให้คนที่มาเรียนดำน้ำพักกับเขาไปด้วยเลย ราคาคอร์สเรียนดำน้ำแบบโอเพ่นวอเตอร์อยู่ที่ 9000 บาทรวมที่พักฟรี 4 คืน ซึ่งถือเป็นราคาที่ถูกนะ เพราะส่วนใหญ่ที่เจอจะหมื่นขึ้นแถมไม่มีที่พักให้ด้วย เราเองก็อยากจะลองเรียนดำน้ำ แต่ติดที่ว่าอยากหาเพื่อนเรียน เพราะมันก็ดูน่ากลัวเหมือนกัน มีเพื่อนสนิทเรียนด้วยจะได้ไม่เหงา และดูอุ่นใจเวลาลองดำ ตอนแรกชวนเพื่อนเรียน แต่สุดท้ายด้วยจังหวะเวลาไม่ลงตัว ก็เลยไม่ได้เรียนกัน เราเองยังต้องเดินทางเยือนเมืองชายหาดอีกหลายแห่ง ไว้ค่อยหาที่เหมาะๆเรียนก็แล้วกัน

         ช่วงที่อยู่เกาะเต่า ลองปั่นจักรยานเล่นไปตามทาง คือปั่นไปมั่วๆ ไม่ได้สนใจอะไรมาก ไปตามป้ายบอกทางตามใจชอบ จนไปถึงทางที่ไปหาดแมงโก้ ก็เลยลองปั่นไปตามทางคอนกรีต ซึ่งไม่ปรากฏอยู่บนแผนที่ เพราะมันเป็นทางสายเล็กๆ บางช่วงก็ทรุดโทรมตามกาลเวลา แต่เราก็ยังอยากลองปั่น ทางชันมากก็ยังอุตส่าห์ใส่เกียร์ต่ำสุดปั่นขึ้นไปจนได้ จนกระทั่งไปถึงจุดที่มีคนสร้างศาลาเหมือนบาร์ไว้ มีนกขุนทอง หมา และลิงอย่างละตัว อยู่เป็นเพื่อน หลังจากนั่งพักและมองดูความชันของเส้นทางที่ปั่นขึ้นมา และเส้นทางที่ทอดยาวขึ้นไปบนเขา ก็เริ่มชั่งใจแล้วว่าจะไปต่อดีหรือเปล่า พอหายเหนื่อยแล้วลองปั่นขึ้นต่อไป ก็ต้องเปลี่ยนใจ กลับดีกว่า ทางชันแบบนี้ ขากลับจะลำบาก ช่วงที่ลงจากเนินตรงนั้น เราเกือบจะล้ม เพราะความชันทำให้รถไหลลงด้วยความเร็ว เมื่อกำเบรกแน่นไป ล้อก็ไถลไปกับพื้น สุดท้ายเราหยุดรถได้แล้วก็รีบลงมาจูงจักรยานลงเนินอย่างช้าๆ ปลอดภัยไว้ก่อน เพราะยังต้องไปอีกไกล พอกลับถึงย่านชุมชน ก็หาที่นวดเลย อยากนวดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แม้ว่าอาการเมื่อยล้าจะหายไปหลังจากได้พักเต็มที่ในวันก่อนหน้า

มาได้แค่นี้ ก็กลับ ตอนปั่นลงเกือบล้ม จนต้องลงจูงรถ

        วันสุดท้าย ซึ่งเป็นวันที่สามบนเกาะเต่า และเป็นการเดินทางวันที่ 118 ของทริปนี้ เราซื้อทัวร์ไปดำน้ำรอบเกาะ ราคา 750 บาท ก็โอเค ในเมื่อเกาะเต่าขึ้นชื่อเรื่องดำน้ำ ใครๆมาที่นี่ก็มาเพื่อดำน้ำกันทั้งนั้น เราก็ไม่ควรพลาด แน่นอนนักท่องเที่ยวเกือบทั้งลำเรือเป็นฝรั่ง ยกเว้นมีชาวจีน 4 คน และคนไทยมีเราเป็นนักท่องเที่ยวเพียงคนเดียว ส่วนคนไทยคนอื่นๆบนเรือก็คือพนักงานของบริษัททัวร์ทั้งสิ้น

        ช่วงออกเรือคลื่นค่อนข้างใหญ่ เรือกระแทกคลื่นที ทำเอาน่าหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย โดยรวม ก็โอเค มีปะการังสวยๆ หลายรูปแบบให้ดู มีปลาหลายชนิด นับไม่ถูกว่ากี่ชนิด และไม่รู้ชื่อว่าปลาอะไร แต่โดยรวมก็เป็นปลาเล็กๆที่มีหลายสี หลายแบบ สวยงาม บ้างอยู่กันเป็นฝูง บ้างว่ายอยู่เดี่ยวๆ เราก็ดำน้ำดูจนเพลิน ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอใต้น้ำไปด้วย มีช่วงหนึ่งที่คิดอยากจะลองดำน้ำลงไปดูปะการังใกล้ๆ เพราะเคยทำตอนที่ไปดำน้ำแบบสน็อกเกิ้ลที่เกาะมันนอกเมื่อสิบปีก่อนได้ ยังจำได้ว่าเราสามารถดำน้ำลงไป ว่ายน้ำประหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลชนิดหนึ่ง ความรู้สึกมันอิสระเหมือนกำลังได้โบยบินอยู่ในท้องฟ้า เพียงแต่เรากำลังว่ายน้ำอยู่ในท้องทะเลเท่านั้น เราแค่อยากสัมผัสความรู้สึกแบบนั้นอีก แต่พอลองดูครั้งแรกไม่สำเร็จ และทำเอาเราเกือบสำลักน้ำ เราไม่กล้าลองครั้งที่สอง เพราะกลัวเป็นอะไรไปจะแย่เอา สุดท้ายก็กลับมาใส่ชูชีพลอยน้ำดูปะการังจากระยะผิวน้ำเหมือนเดิม จุดแวะสุดท้ายคือเกาะนางยวน ขึ้นเขาไปดูวิวชายหาดที่เชื่อมระหว่างเกาะ สวยมาก

เกาะนางยวน ชอบที่สุดในทริปดำน้ำรอบเกาะ

         ก่อนขึ้นเรือออกจากเกาะเต่า ไปนั่งร้านพี่ที่ทำงานบนเรือ ร้านแกเป็นแนวเรกเก้ ชอบมากเลย แกทำร้านเหมือนกับเป็นบ้านต้นไม้เลย เรานั่งโหลดรูป และชาร์จแบตเตอร์รี่ต่างๆที่นั่น จนได้เวลา ก็ออกมาหาข้าวเย็นกิน ก่อนไปลงเรือ

         เรือจากเกาะเต่าไปสุราษฏร์ไม่ใหญ่เหมือนลำที่มาจากชุมพร ถ้าเป็นเรือแบบนั้น เห็นมีคนบอกว่ามีแค่สามรอบต่อสัปดาห์ที่เดินทางจากเกาะเต่าไปสุราษฎร์ แต่วันนี้ก็มีแต่เรือแบบนี้แหละ ราคาตั๋ว 400 บาท เอาจักรยานขึ้นได้ ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ห้องโดยสายไม่ติดแอร์ มีเบาะกว้างประมาณสามคืบยาวไม่ถึงสองเมตรวางเรียงติดๆกันสองฝั่งสำหรับให้ผู้โดยสารนอน เวลาออกตั๋วเขาจะมีหมายเลขกำกับ เราก็ต้องนอนตามเบาะตามหมายเลขบนตั๋ว เรือออกสามทุ่ม ไปถึงตีห้า ดีที่แขกไม่ถึงกับเต็ม ทำให้เราไม่ต้องนอนเบียดกับคนข้างๆ

         คลื่นลม บางช่วงก็แรง จนเรือโคลง แต่เรากลับรู้สึกว่าหลับได้สบายมากกว่าตอนที่โดยสารเรือใหญ่มาที่เกาะเต่าเสียอีก เรือมาถึงท่าเรือบ้านดอน สุราษฎร์ ตอนเช้ามืด เราเข็นจักรยานขึ้นฝั่ง จัดการจัดสัมภาระให้เข้าที่ แล้วก็นั่งรอฟ้าสว่างถึงปั่นไปหาอะไรกิน และตัดสินใจปั่นเดินทางออกจากสุราษฎร์มุ่งหน้าไปทางอุทยานแห่งชาติเขาสก

          การเดินทางวันที่ 119 ซึ่งตอนแรกกะว่าจะแวะเขื่อนรัชประภา ที่ได้รับฉายาว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจมุ่งตรงไปอุทยานแห่งชาติเขาสกเลย แต่แล้วก็ไม่ถึง ตอนห้าโมงครึ่งมาถึงตรงสะพานแห่งหนึ่งวิวสวยมาก ภาพแบ็คกราวภูเขาหินที่อยู่เบื้องหน้า ทำให้เราอดใจไม่ไหวที่ต้องเอากล้องออกมาตั้งถ่ายตัวเอง แม้ว่าฟ้าใกล้จะมืด และยังเหลือระยะทางอีกเกือบ 20 กิโลกว่าจะถึงอุทยานเขาสก แต่หาได้หวั่นไม่ กะว่าถ้ามืดก่อนก็หาที่นอนระหว่างทาง แต่แล้วฟ้าก็ส่งตัวช่วยลงมาให้เรา มีพี่คนหนึ่งปั่นจักรยานผ่านมา เราเลยถามระยะทางไปอุทยานเขาสก เพราะกำลังสับสนกับป้ายที่เขียนว่า ภูผาลำธาร อุทยานแห่งชาติเขาสก สรุปว่าป้ายนี้มันหมายถึงรีสอร์ทหรูแห่งหนึ่ง พี่คนนี้ทำงานที่อุทยานแห่งชาติคลองพนม ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงกิโลเมตร โอ้ ไม่รู้จริงๆว่าอุทยานแห่งนี้จะอยู่ติดถนนสายนี้ด้วย เพราะตอนที่ดูแผนที่ เหมือนจะอยู่อีกทางหนึ่ง สรุปก็เลยได้มาค้างคืนที่นี่ กางเต็นท์นอนใต้ศาล ที่มีปลั๊กไฟ มีน้ำร้อนน้ำเย็นให้กิน


วิวก่อนถึงอุทยานแห่งชาติคลองพนม สุราษฎร์ธานี
         ช่วงกลางคืน มีเจ้าหน้าที่มานั่งคุยกัน ดูโทรทัศน์ไปด้วย เราออกมานั่งเขียนบันทึก พี่เขาเลยถามเกี่ยวกับเรื่องการเดินทาง เขาบอกว่าทำงานที่นี่มาสิบกว่าปีเพิ่งเคยเจอนักเดินทางชาวไทยที่ปั่นจักรยานมาพักที่นี่ ส่วนใหญ่จะเห็นแต่ชาวต่างชาติ แถมบอกให้เราไปลงชื่อในสมุดเยี่ยมก่อนออกเดินทางต่อพรุ่งนี้เช้าด้วย
 

No comments:

Post a Comment